RedRatkrabang Bangkok Thailand ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน Welcome to...


รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง – เพลง ชีวามาลา – คุณจั่นทิพย์ สุถินบุตร วงดนตรีสุนทราภรณ์ – ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมจ้า...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

60> ฐิติมาจัดหนัก ตอกมาร์คไม่ต้องมาสอน

@ ถ้ากลัวเด็กติดgame ก็ไปถามคนป่าแอฟริกัน หรือว่า พวกเด็กๆใน อูกันดา รวันดา นะครับ
@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง




ฐิติมาจัดหนัก ตอกมาร์คไม่ต้องมาสอน
By: ข่าวสดรายวัน วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7594

นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนประชุมครม.ถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะเดินทางเยือนกัมพูชาในวันที่ 15 ก.ย. ว่าคงรู้หน้าที่ว่าควรทำอย่างไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีและมีกระแสข่าวจะเดินทางไปกัมพูชาเช่นเดียวกันว่า อยากบอกถึงนายอภิสิทธิ์ ว่าไม่ต้องมาสอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะนายกฯรู้ดีว่าตัวเองทำอะไร การไปเยือนประเทศต่างๆ ได้ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนและสร้างความสัมพันธ์อันดี ควรกลับไปดูว่ารัฐบาลที่แล้วทำอะไรไว้บ้าง ไปเจรจากับต่างประเทศยังทำเป็นความลับ เพราะอะไรก็รู้กันอยู่

นางฐิติมา กล่าวว่า ขอให้มั่นใจว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ไปทำอะไรเพื่อคนๆหนึ่ง และช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ รู้ดีว่าสาเหตุที่ไม่สามารถนำพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้เพราะอะไร เราคงไม่อยากได้ยินเรื่องอินเตอร์โพลหรือตำรวจสากลอีกแล้วเพราะเป็นเรื่องโกหก หลอกลวงประชาชนมาเป็นปี ทำให้เข้าใจว่าตำรวจสากลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เรื่องนี้อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าไม่เป็นเรื่องจริงและไม่มีการออกหมายจับ และการโกหกเช่นนี้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์จะไม่ทำ

ถามกลับกรณีถลุง 4 หมื่นล้าน

"คุณอภิสิทธิ์ ควรกลับไปดูว่ารัฐบาลที่แล้วว่าทำอะไรไว้บ้าง ไม่ต้องมาสอนสั่ง วันก่อนก็สอนเรื่องงบประมาณน้ำท่วม โดยพยายามบอกว่ารัฐบาลของเขาคงไม่ต้องสอนรัฐบาลนี้ ตรงนี้ดิชั้นจะเอาข้อมูลออกมาให้ดูว่า 4 หมื่นกว่าล้านบาท ที่เอาไปช่วยน้ำท่วมคราวที่แล้ว เอาไปทำอะไรบ้าง และเกิดประโยชน์ในการป้องกันการเกิดน้ำท่วมได้อย่างไร หรือไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉก เดี๋ยวมาดูกัน แต่คุณยิ่งลักษณ์ ไปเยือนแต่ละประเทศอย่างสง่างามและได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากทุกประเทศ ทั้งบรูไนและอินโดนีเซีย ฝากถึงรัฐบาลที่แล้วว่าให้กลับไปดูตัวเองว่าทำอะไรไว้ และเป็นปัญหากับประชาชนมากแค่ไหนแล้วยังมาสั่งสอน" นางฐิติมา กล่าว

เมื่อถามว่าแนวทางของรัฐบาลต่อการดำเนินคดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างไร นางฐิติมากล่าวว่า ต้องปล่อยไปตามกระบวนการ เราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างนายกฯกับพี่ชาย เป็นปกติ ไม่จำเป็นว่าการเดินทางไปต่างประเทศจะต้องไปพบพี่ชาย แต่มีความพยายามหาเรื่องว่าการไปเยือนบรูไนหรือกัมพูชาของนายกฯ จะต้องไปพบพี่ชาย



"สมเด็จฮุนเซ็น" ตบหน้ามาร์คฉาดใหญ่แฉซ้ำ "ผู้นำเอกสารลับมาเจรจาคือสุเทพ เทือกสุบรรณ และประวิตร วงศ์สุวรรณ"
By: http://www.15thmove.net/news/hun-sen-revealed-suthep-secret-oil-deal/

หนังสือพิมพ์กัมพูชาใหม่ วานนี้ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๔) หนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพและเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา วันนี้ (๑๓ กันยายน ๒๕๕๔) รายงานคำกล่าวของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระหว่างพิธีมอบปริญญาบัตรผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการจัดการ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าเกาะเพชร วานนี้ กรณีการเดินทางเยือนกัมพูชาของทักษิน ชินวัตร ที่จะถึงกัมพูชาในวันที่ ๑๖ กันยายน หนึ่งวันให้หลังการเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกรณีกล่าวโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เรื่องการเจรจาลับแบ่งผลประโยชน์น้ำมันในพื้นที่อ่าวไทย

ฮุน เซน กล่าวถึงการให้การต้อนรับทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีโทษจำคุก ว่า "ผมจะเปิดสำนักนายกรัฐมนตรีต้อนรับ ผมรับทักษิณอย่างเป็นทางการ รับในนามเป็นมิตรแท้อย่างหนึ่ง และจะรับในฐานะวิทยากรคนหนึ่งสำหรับการสัมมนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจเอเชีย แล้วขออย่ามาสั่งให้ผมจับทักษิณ ไม่ว่าพรรคฝ่ายค้านไทย ไม่ว่ารัฐบาลไทย คือไม่ได้เลย เพราะนี่เป็นดินแดนเขมร ที่เป็นสิทธิของผม" ฮุน เซน กล่าวต่อว่า "ทักษิณมาตามคำเชิญในการสัมมนาที่เตรียมการโดยราชบัณฑิตยสภากัมพูชา(1) ที่มีพรรคประชาธิปไตยนิยมกลางสากล(2) เข้าร่วมด้วย หรือกล่าวคือเขามาเป็นวิทยากรที่กัมพูชา ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผมจะไม่รับเขาที่บ้านของผม ผมจะรับเขาที่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วจะมีการเลี้ยงรับรองที่สำนักนายกรัฐมนตรี"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า จะมีการประดับเหรียญเกียรติยศแก่ผู้ทรงเกียรติจำนวนหนึ่ง ที่ได้เริ่มต้นก่อตั้งการประชุมนานาชาติพรรคการเมืองเอเชีย (ICAPP) ซึ่ง ดร.ทักษิณ จะได้รับเหรียญด้วย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย (นพดล ปัทมะ) ก็ได้รับด้วย พร้อมกับนักการเมืองอีกจำนวนหนึ่ง ผู้ได้รับเชิญร่วมประดับเหรียญคือ อดีตประธานสภาฟิลิปปินส์ และรองประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย

ต่อกระแสข่าวที่ว่าทักษิณ ชินวัตร เดินทางเยือนกัมพูชาเพื่อเจรจาเรื่องผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทย บนพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน นั้น ฮุน เซน กล่าวว่า "ผมมีข้อห้าม ผมไม่คุยกับทักษิณเรื่องปัญหาผลประโยชน์ในประเทศทั้งสอง แล้วทักษิณก็มีข้อห้ามด้วย เราดึงทักษิณมาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจจากเขา ส่วนภารกิจเจรจาเป็นภารกิจของรัฐบาลไทย ก่อนหน้าคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ ปัจจุบันนี้คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์" ฮุน เซน กล่าวต่อว่า "ผมขอยืนยันว่า ทักษิณไม่มีภารกิจที่จะเจรจาในเรื่องใดทั้งสิ้น ในเรื่องผลประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องระหว่างกัมพูชา-ไทย เพราะนี่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทย ไม่ใช่หน้าที่ของ ฯพณฯ ทักษิณ"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวถึงกรณีแถลงการณ์ขององค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ที่เปิดเผยข้อมูลการเจรจาลับระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เรื่องผลประโยชน์น้ำมัน ว่า เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านไทยยกประเด็นขึ้นมา ต่อมาองค์การปิโตรเลียมกัมพูชาได้ประกาศข่าวเกี่ยวกับการเจรจาลับ มีสมาชิกสภาฯ พรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ พร้อมกับคนอีกจำนวนหนึ่ง โจมตีทักษิณว่า ทักษิณเจรจามีผลประโยชน์กับกัมพูชา ในยุคทักษิณได้เปิดการเจรจาอย่างเปิดเผย โดยมีคณะกรรมการร่วม ๒ คณะ คือ คณะหนึ่งสำหรับกำหนดเขตแดน และอีกคณะเกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม การเจรจานั้นจนมาถึงเวลานี้ ไม่ว่ากับรัฐบาลไหนก็ตาม ยังไม่มีความเห็นชอบอะไรทั้งสิ้น ในนั้นมีการแบ่งส่วนออกเป็น ๓ โซน ตรงกลางแบ่ง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ที่อยู่ใกล้ไทยกว่า ตอนแรกแบ่ง ๑๐-๙๐ ต่อมาเอา ๒๐-๘๐ ส่วนพื้นที่ข้างกัมพูชา ๘๐-๒๐ ส่วนกัมพูชาเสนอกลับไปว่าให้แบ่งเป็นบล็อคๆ แล้วจับฉลากเลือก

ฮุน เซน กล่าวว่า "สิ่งที่เราต้องการยืนยันในที่นี้คือ ไม่ว่าจะมีการเจรจาเปิดเผยหรือเจรจาลับ แต่การเจรจาทั้งหมดยังไม่เกิดเป็นผลแต่อย่างใด แล้วก็ไม่สามารถมีเรื่องผลประโยชน์ซ่อนเร้นอย่างหนึ่งอย่างใด อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกขึ้นกล่าวหาได้" แล้วต่อว่า "ผมต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ฝ่ายไทยได้ทราบ ผู้ใดเปิดการเจรจาลับ?" ฮุน เซน กล่าวอีกว่า "ในยุคของทักษิณ การเจรจาก็ทำอย่างเปิดเผย ส่วนสมัคร สุนทรเวช มากรุงพนมเปญก็พูดกับผมเปิดเผยในการเจรจา หากแต่ต่างจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เขาว่าเป็นรัฐบาลโปร่งใส ผมไม่ได้เตรียมตัวหารือกับสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบฝ่ายความมั่นคงของไทย และรัฐมนตรีกว่าการกระทรวงกลาโหม ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่อย่างใด"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวย้อนความจำไปถึงสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า "นายสุเทพมากัมพูชาสามครั้ง เขาคงลืมไป ครั้งแรกในเดือนเมษา ตอนนั้นมาไกล่เกลี่ยเพื่อรับรองให้ผมไปพัทยาร่วมการประชุมอาเซียน หลังจากมีเรื่องในสภาไทยที่กษิต ภิรมย์ เรียกผมว่าเป็นนักเลง ต่อมาก็มีทำหนังสือขอโทษ ภายหลังนายสุเทพก็มากัมพูชาอีกพร้อมกับรัฐมนตรีกลาโหม แล้วก็ได้มีการหารือเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องน้ำมันเลย วันที่ ๒๗ มิถุนายน ภริยาผมทำอาหารเลี้ยงส่วนตัวคือทำแกงเลียง(3) ให้เขารับประทาน หากแต่เรื่องที่แปลกคือ นายสุเทพได้เอาเอกสารแผนที่เกี่ยวกับบล็อคน้ำมันในทะเลมาด้วย แล้วเขาได้แจ้งว่า อภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งเขาให้มาเจรจากับสมเด็จฯ ให้เสร็จภายในสมัยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ดังนั้น เขาไม่ต้องการเจรจากับรองนายกรัฐมนตรี ซก อาน เขาต้องการเป็นคู่เจรจากับ ฮุน เซน เท่านั้น" ฮุน เซน กล่าวต่อว่า "ผมได้แจ้งกลับไปว่า ผมมีรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้ ไม่สามารถเป็นคู่เจรจากับ ฯพณฯ ได้" พร้อมกล่าวต่อว่า "สุเทพต้องการยกตัวให้เสมอกับฮุน เซน เรื่องการเจรจาบนพื้นที่ทางทะเล ซึ่งการเจรจาเบื้องต้นได้เกิดขึ้นที่ตาเคมา(4-5) จ.กัณดาล(6) ที่ตอนนั้น เราได้ต้อนรับเขาด้วยแกงเลียง แล้วก็ขณะที่มาพบนั้นไม่มีประเด็นอื่นอีก การเจรจาลับเริ่มต้นจากตาเคมา ส่วนการเจรจาที่ฮ่องกงและที่คุนหมิง ประเทศจีน เป็นเรื่องถัดมา"

ฮุน เซน กล่าวพาดพิงถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า "อภิสิทธิ์ ถ้าไม่ชัดเจนก็อย่าพูด นำคนต่อต้าน ผมไม่ต้องการพูดถึง หรือว่าผมต้องสอนอภิสิทธิ์อีก เมื่อตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ผมก็สอนแล้วสอนอีก ตอนนี้ผมยังต้องสอนอีกหรือ ผมขอแนะนำไปถึงอภิสิทธิ์และสุเทพที่กรุงเทพฯ ว่า ใครคนไหนหอบเอาเอกสารมาที่บ้านผมที่ตาเคมา สุเทพรับรู้เรื่องนี้" และกล่าวต่อว่า "ใครคนไหนหอบเอาเอกสารไปที่ตาเคมา ผมไม่รับรู้ด้วย ดังนั้น ขอให้ฝ่ายไทยไปดูไปตรวจสอบให้ถูกต้องถึงมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญไทย เรื่องที่มาลักลอบเจรจาลับอย่างนั้น"

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวอีกว่า "ตอนนี้ ตั้งแต่ออกจากตำแหน่ง อภิสิทธิ์ก็มาโจมตีว่าเนื่องจากรัฐบาลไทย (ยุคอภิสิทธิ์) ไม่สนองผลประโยชน์ของกัมพูชาทำให้ไม่ถูกกัน ผมก็จะแจ้งกลับไปที่อภิสิทธิ์ว่า ถ้ารัฐบาลก่อนไม่ถูกกันแล้ว ใครคนไหนที่ส่งคนมาเจรจาลับ ไอ้ที่ลับเป็นอะไร?" แล้วกล่าวต่อว่า "เขาต้องการรู้เรื่องลับนี้ไหม ถ้าต้องการรู้ว่าลับหรือไม่ลับ ต้องเริ่มต้นที่ตาเคมา จ.กัณดาล ฟังให้ชัด...ผู้นำเอกสารมา คือ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตีย บัญ ลี ยงพัต และคำปูน ซท(7) ได้เห็นเอกสารนี้"

นอกจากนี้ ฮุน เซน พูดถึงกำหนดการของ ทักษิณ ชินวัตร ว่า จะไปถึงกัมพูชาวันที่ ๑๖ กันยายน โดยจะเข้าร่วมการบรรยายเกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจเอเชียในวันที่ ๑๗ กันยายน ที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ ส่วนวันที่ ๑๘ อาจจะร่วมเล่นกอล์ฟกับฮุน เซน ช่วงเช้าวันที่ ๑๙ ทักษิณจะร่วมบรรยายในการสัมมนาที่อาคารมิตรภาพกับวิทยาการอื่นๆ และในช่วงบ่าย จะเข้าร่วมในพิธีประดับเหรียญผู้ทรงเกียรติซึ่งพรรคประชาธิปไตยนิยมกลางสากลจัดขึ้น จากนั้นในวันที่ ๒๐ กันยายน ทักษิณจะเดินทางไปยังจังหวัดเสียมราฐ ส่วนการเตะฟุตบอลกระชับมิตรนั้น ฮุน เซน เปิดเผยว่าทีมของฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มฝึกซ้อมมาตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน แล้ว

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

59> ก๊อก ๆ ๆ รมต.ที่ดูแลสื่อของรัฐ ทำอะไรอยู่ ?????


นักเรียนโรงเรียนบ้านสันกำแพง จ.เชียงใหม่ เคยได้รับแจกคอมพิวเตอร์พกพาจากองค์กรการกุศล เมื่อ 3 ปีก่อนตั้งแต่อยู่ชั้น ป.1 ปัจจุบันอยู่ชั้น ป.3 นักเรียนเหล่านี้ ได้ใช้งานทำการบ้าน ส่งคุณครูด้วยคอมพิวเตอร์พกพาอย่างคล่องแคล้ว ส่วนครูผู้ดูแลมองว่า ประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับเด็กอย่างแท้จริง อยู่ที่ครูผู้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด และการออกแบบ กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์พกพานี้

แต่ยังไงเด็กๆก็ยังต้องพัฒนากล้ามเนื้อ มือ ตา ซึ่งต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การวาดภาพ การเขียนหนังสือ เพราะระบบประสาทและร่างกายมนุษย์กับการพัฒนาสมองจะเติบโตสัมพันธ์กัน Tablet PC ก็คือเครื่องมือที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ ที่เด็กไทยมีโอกาสที่จะได้รู้จักนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตั้งแต่เล็กๆ เพื่ออนาคตจะได้รู้จักเอาผลิตผลทางเทคโนโลยีมาพัฒนาตัวเองต่อไป

นายกฯปูเยี่ยมเยือน บรูไน 10 กันยายน 2554





ก๊อก ๆ ๆ รมต.ที่ดูแลสื่อของรัฐ ทำอะไรอยู่ ?????
By: AnnieHappy

หน้าที่ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่ดูแลสื่อของรัฐ คือ

- ไปดูว่ามีช่องทางใดบ้าง (ทั้งจากเครื่องมือที่เรามีอยู่จากสื่อของรัฐและการแสวงหาความร่วมมือจากเครือข่ายต่างๆ) ที่จะช่วยรัฐบาล ในการสื่อสารเรื่องนโยบาย กับประชาชน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระคุณปู

- ไปดูว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ต้องทำเร่งด่วน เรื่องนโยบาย เรื่องเฉพาะหน้า แล้วจะสื่อสารกับประชาชนด้วยวิธีใด เช่น รายการโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต กิจกรรมสัมมนา อภิปราย อีเวนต์ต่างๆ (ไปดูว่าแผนยุทธศาสตร์มีอะไรและอยากไ้ด้อะไร อยากเน้นเรื่องใดเป็นพิเศษ)

- ไปดูว่าใคร เป็นใคร ในสื่อของรัฐ ต้องวางคนให้ถูกกับงาน และต้องเป็นคนที่ไว้วางใจให้รับนโยบายไปทำได้

- ถ้าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ให้ขอความช่วยเหลือคนอื่นๆ เข้ามาช่วยงาน เช่น คุณจิรายุ ห่วงทรัพย์ ให้มาช่วยดูช่อง 11 คุณโอปอ ก็รู้เรื่องการทำรายการทีวี มีพวกเราหลายคนที่เก่งเรื่องจัดเสวนา ทำกิจกรรม ทำรายการวิทยุ

วันก่อน เห็นคุณกฤษณา ไปยืนเป็นวอลเปเปอร์ตามนายกฯ ซึ่งไม่ใช่ภารกิจของ รัฐมนตรีสำนักนายกฯ นั่ี่นเป็นภารกิจของโฆษกรัฐบาล คือว่าเห็นแล้วมันหงุดหงิด ในฐานะคนที่เลือกรัฐบาลนี้เข้ามา เขาก็หวังจะได้เห็นสื่อของรัฐ มีสีสัน มีการเปลี่ยนแปลง ที่น่าตื่นตาตื่นใจ แบบสมัยคุณสุรนันท์หรือคุณจักรภพ

แต่จนป่านนี้แล้ว รายการนายกฯพบประชาชน ก็ยังไม่มี รายการต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เหมือนเดิม ที่เปลี่ยนไปบ้างนิดหน่อย น่าจะเป็นเพราะข้าราชการเขาเป็นนกรู้พยายามปรับตัว เสนอข่าวรัฐบาลตามหน้าที่ปกติของเขามากกว่า

อย่าหาว่าใจร้อนเลย แต่ว่ามันเงียบเชียบซะจนวังเวงใจ เงียบซะจนสงสัยว่า รมต.มีความรู้เรื่องงานประชาสัมพันธ์และงานสื่อแค่ไหน หรือว่า รมต.ชุดนี้ เป็นแค่ "ตัวสำรอง" อย่างที่เขาลือจริงๆ

อ้อ...แล้ว รมต.ก็ไม่มีหน้าที่ไปคุมสื่อเอกชนนะ เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงสื่อ แต่ว่าสื่อของรัฐเรากำหนดนโยบายได้อยู่แล้ว ส่วนสื่อเอกชน ก็ขอความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี โดยเฉพาะจัดหางบประมาณ ให้เขาช่วย ปชส.นโยบายของรัฐ ด้วยการลงโฆษณา (เน้นสื่อส่งเสริมฝ่ายประชาิธิปไตย อิ อิ) มีงานเยอะแยะให้ทำ

ถ้ายังนึกไม่ออก ขอยกตัวอย่างรายการทีวี ว่าคนเขาอยากเห็นอะไร

1. อยากเห็นรายการที่คุยเรื่องรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ว่ามันมีปัญหาอย่างไร ทำไมจึงต้องแก้ไข คุยแบบมันส์ๆ หน่อยนะ แบบที่ชาวบ้านดูรู้็เรื่องและสนุกสนาน โดนใจประชาชน

2. อยากเห็นความคืบหน้าเรื่องนโยบายต่างๆ ว่าอะไรทำไปถึงไหน มีปัญหาอย่างไร เอามาบอกประชาชน

3. อยากเห็นรายการที่นำเสนอประเด็นที่ส่งเสริมประชาธิปไตย ข้อเท็จจริงที่สื่อกระแสหลักไม่เคยเผยแพร่ เช่น ชีวิตของคนเสื้อแดงที่ถูกจับ ครอบครัวของเขา ประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้น เอาคนอย่าง อ.ยิ้ม ดร.พิชิต ดร.สุนัย คุณ บก.ลายจุด มาคุยให้ฟังบ้าง เรื่องราวที่คนเสื้อแดงฟังกันจนเบื่อแล้ว จะได้เผยแพร่ไปสู่คนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ

ไม่ต้องถึงกับเป็นรายการแบบความจริงวันนี้ หรอก เพราะนี่คือสื่อของรัฐ เราต้องทำให้คนทุกสีดูได้ เพื่อขยายฐานมวลชนออกไป เราไม่โจมตีผู้อื่น ไม่โจมตีคนที่คิดต่าง แต่นำเสนอข้อเท็จจริง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง จุดหมายคือความปรองดองของคนในชาติ (ซึ่งต้องช่วยกันทำความจริงให้ปรากฏก่อน)

ต้องแบ่งงานกันให้ชัดเจน ระหว่าง รมต.ที่ดูสื่อของรัฐ โฆษกรัฐบาล โฆษกพรรคเพื่อไทย และต้องทำงานสอดประสานกันตลอดเวลาด้วย แบบที่เขาเรียกว่า "พูดให้เป็นเสียงเดียวกัน"

คุยกันให้ดี ว่าช่วงนี้จะพูดนโยบายอะไร เรื่องอะไรควรทำก่อน ทำหลัง อะไรต้องทำไปพร้อมๆกัน เรื่องอะไร ต้องทำให้เป็นข่าวดัง ดังในเวลาไหน เรื่องอะไรควรทำเงียบๆ

เรื่องอย่างนี้ต้องยกให้อีกฝ่าย เขาเก่งจริงๆ เรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะการ set ประเด็นข่าว

เช่น "อย่าทำเพื่อคนๆเดียว" เขาพูดกันพร้อมเพรียงตั้งแต่ หน.พรรค ไปจนถึงลูกพรรค รวมไปถึงนักวิชาการ ผู้นำการเคลื่อนไหวในฝ่ายของเขา เพียงแต่น้ำหนักมันอ่อน ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ มุกเลยแป๊ก

รมต.ดูแลสื่อ มีหน้าที่เอานโยบายไปเปิดประเด็นและขยายผลทางเครื่องมือที่มีอยู่ ไม่ใช่มาให้สัมภาษณ์สื่อเสียเอง เดี๋ยวจะไปแย่งหน้าที่โฆษกรัฐบาลเขา

แต่ถ้าจะให้สัมภาษณ์สื่้อ ก็ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับนโยบายของตัวเองเท่านั้น

By: sopon ไม่รู้จะทำอะไรก็แจ้งราคาสินค้าให้ชาวบ้านรู้ก็ได้ เช่น เนื้อหมู ไก่ ไข่ น้ำมันพืช ค่ารถ ค่าน้ำมัน ขึ้นลงเท่าไหร่

By: thekunyay อย่างไรก็ต้องรอบคอบ อย่าลืมกรณีท่านจักรภพ เพ็ญแข เรื่องวารสารของกรมกร๊วก...

เตือนไม่ใช้ให้กลัว... แต่เตือนให้ระแวดระวัง...ไอเตี้ย หมาตื่น...มันบริหารมาเกือบสองปี คงมีคนที่จงรักภักดีกับมัน...

ฉะนั้น...ควรตัดไม้ข่มนามกันมั่ง...อะัไรทำได้ต้องรีบทำ และควรทำอย่างเร็วไว...ละเหี่ยใจจริงๆ

By: tohellwithhere ไม่รู้คนในพรรคเขาใจเย็น อดทนดู ยายกฤษณางุ่มง่าม หน่อมแหน่มอยู่ได้ไง

ไม่มีประสบการณ์ก็ปรึกษาคุณจิรายุสิ หรืออีกตั้งหลายคนที่เขาเก๋ากว่า

ดูตอน ปชป. ไอ้เตี้ยสาธิต มันมาปุบ มันแอคชั่น เปลี่ยนโลโก้ซะเลย (ไม่รู้เปลี่ยนทำบ้าอะไร) จัดรายการให้ไอ้เจิม Tnews ออกมาด่าพวกเราทุกวัน

คุณไม่กล้าก็ออกไปซะ คนกล้าๆ เก่งกว่าคุณจะได้เข้ามาทำ หรือโดนส้มหล่น ยังงงไม่หาย หรือไง

By: ติ๋มต้วมเตี้ยม วันนี้ดูข่าวช่อง3 น้ำท่วมอุตรดิตถ์ เห็นมาร์คออกลุยแจกทั้งซองทั้งถุง แต่ไม่มีข่าว สส.เพื่อไทย

เห็นน้ำไหลพลั่กๆ แล้วปวดหัวใจแทนชาวบ้าน แต่หาข่าวรัฐบาลไปทำงานไม่มี

ตอนนายกฯปูไปบรูไน สั่งให้ยายนี่ไปดูน้ำท่วม ที่ อุตรดิตถ์ บ้านเกิด

ไป ก็เงี๊ยบ เงียบ ไม่สมกับ รมต.ที่ดูแลสื่อของรัฐเลย

เฮ้อ...กรรม!!!

58> ย้าย ผบ.ตร. ยึดหลัก "คุณธรรม" หรือ "การแก้แค้น"


นักเรียนโรงเรียนบ้านสันกำแพง จ.เชียงใหม่ เคยได้รับแจกคอมพิวเตอร์พกพาจากองค์กรการกุศล เมื่อ 3 ปีก่อนตั้งแต่อยู่ชั้น ป.1 ปัจจุบันอยู่ชั้น ป.3 นักเรียนเหล่านี้ ได้ใช้งานทำการบ้าน ส่งคุณครูด้วยคอมพิวเตอร์พกพาอย่างคล่องแคล้ว ส่วนครูผู้ดูแลมองว่า ประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับเด็กอย่างแท้จริง อยู่ที่ครูผู้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด และการออกแบบ กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์พกพานี้

แต่ยังไงเด็กๆก็ยังต้องพัฒนากล้ามเนื้อ มือ ตา ซึ่งต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การวาดภาพ การเขียนหนังสือ เพราะระบบประสาทและร่างกายมนุษย์กับการพัฒนาสมองจะเติบโตสัมพันธ์กัน Tablet PC ก็คือเครื่องมือที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ ที่เด็กไทยมีโอกาสที่จะได้รู้จักนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตั้งแต่เล็กๆ เพื่ออนาคตจะได้รู้จักเอาผลิตผลทางเทคโนโลยีมาพัฒนาตัวเองต่อไป

ย้าย ผบ.ตร. ยึดหลัก "คุณธรรม" หรือ "การแก้แค้น"

ตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการโยกย้ายพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ขณะเดียวกันจะให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ มารับตำแหน่งแทน การที่รัฐบาลเพื่อไทยให้ พล.ต.อ.เพียวพันธ์ ซึ่งเป็นอดีตพี่เขยของอดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามานั่งในตำแหน่งนี้ จะพิสูจน์ถึงความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายได้หรือไม่ หรืออาจจะเป็นการแก้แค้นทางการเมือง...วันนี้(2ก.ย.54) รายการ Hot Topic ร่วมพูดคุยกับพล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ


2คลิปแรกพิสูจน์ว่า มาร์คแต่งตั้ง เพรียวพันธ์, สมคิด อย่างอยุติธรรม 2มาตรฐาน และ แต่งตั้ง วิเชียรเป็นรักษาการ ผบ.ตร. ข้ามอาวุโสหน้าตาเฉย
น้ำลด-ตอผุด

2009 08 06 TNN พล.ต.อ.เพียวพันธ์ ดามาพงศ์ ร้องสื่อมาร์คขว้างนั่งผบ.ตร.

2010 09 19 มาร์คปกป้องพล.ต.ท.สมคิด เจอซาอุสวนกลับ I'm well informed

2008-12-17 มาร์ครับตำแหน่งนายก ลั่นเน้นสามัคคี ยุติธรรม ขจัดการเมืองล้มเหลว

2010 09 15 แต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด, ซาอุข้องใจ สุเทพแถสู้

2010 09 19 มาร์คปกป้องพล.ต.ท.สมคิด เจอซาอุสวนกลับ I'm well informed

2010 09 22@0046 มาร์คดื้อหัวชนฝาแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด, ซาอุฉุน งดออกวีซ่า

2010 09 23@0049 ซาอุสู้เพื่อความยุติธรรม พล.ต.ท.สมคิดถอยไม่รับตำแหน่ง, มาร์คปัดกดดัน

นายกฯปูเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ 30 สิงหาคม 2554








57> นี่เราต้อนสุนัขให้จนตรอกกันหรือเปล่าหนอ...


นี่เราต้อนสุนัขให้จนตรอกกันหรือเปล่าหนอ...
By: ปลายอ้อกอแขม

ฟังนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีตเลขานุการรัฐมนตรีต่างประเทศ ของพรรคประชาธิปัตย์ออกมาบอกว่า อดีตนายกฯทักษิณสั่งให้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของพรรคไทยรักไทย ยกเกาะกูดให้เขมร ตามMOU44แล้ว ...ผมอึ้ง

แว่บแรก เกิดความรู้สึกสมเพช เวทนาพรรคประชาธิปัตย์อย่างชนิดไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร เพียงรู้สึกว่า นี่พวกเราทั้งหลายกำลังต้อนสุนัขให้จนตรอก เลยหันมาสู้เพราะไม่มีทางหนี ตามคำพังเพยของไทยแล้วหรือนี่ ...โธ่เอ๋ย

ประชาธิปัตย์ถูกต้อนจนมุม หนีไม่ออก กับข้อมูลความเลวชั่วของตนที่ได้ถูกทยอยเปิดเผยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ในช่วงที่ตนเองทำไว้ในยุคที่เป็นรัฐบาล ...ทางโน้นทีทางนี้ที

เริ่มตั้งแต่ 172 โครงการที่ส่อแววทุจริตอื้อโดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์สั่งตรวจสอบก่อนดำเนินการต่อ กับต่อมาก็เรื่องที่เขมรออกมาเปิดเผยว่าอภิสิทธิ์ส่งนายสุเทพไปเจรจาลับๆกับนายซก อาน เรื่องผลประโยชน์ทางทะเล ...โอละพ่อ

สิ่งเหล่านี้ ถูกรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทวงถามถึงความโปร่งใสอยู่ทุกวัน ยิ่งเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในทะเลที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวโจมตีอดีตนายกฯทักษิณมาตลอด จนในที่สุดก็ถูกเขมรเอามาเปิดเผยว่านายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพแห่งประชาธิปัตย์นั่นแหละ ทำเสียเอง ...ว่าแต่เขา

พอเจอดอกนี้เข้า ก็หมดมุก หนีไม่ออก ยิ่งถูกสังคมกดดันให้อธิบายความจริง สุดท้ายก็หันหน้ามาบอกเป็นเชิงอาฆาตว่า เชิญตรวจสอบได้เลย ดีละ จะได้ออกมาแฉบ้างว่าทักษิณสั่งให้สุรเกียรติ์ยกเกาะกูดให้เขมร ...ไม่ใช่ประชาธิปัตย์

สงสารจริงๆ สงสารจับใจ ที่ประชาธิปัตย์ต้องถูกต้อนเข้ามุมอับอย่างรวดเร็วเกินคาด จึงพยายาม "สู้ตาย" กุเรื่องขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นให้เฉออกไป ...หวังเอาตัวรอด

หลอกใครไม่ได้อีกแล้ว เพราะสังคมรู้ว่าถ้าเรื่องนี้ ทักษิณทำจริง ประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาลอยู่ 2 ปี มีหรือจะปล่อยไว้ คงต้องเอามาเป็นประเด็นเด็ด เพื่อกำจัดทักษิณและพรรคเพื่อไทยตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เอามาเปิดเผยตอนที่ฝ่ายตนตกไปเป็นฝ่ายค้านอยู่ขณะนี้ ...คนเขารู้

กรรมช่างตามสนองได้รวดเร็วดีแท้ ลุกจากเก้าอี้ไปยังไม่ทันไร ความชั่วที่ทำไว้ก็ประเดประดังเข้ามาทุกทิศทาง จนตั้งรับไม่ทัน ในที่สุดก็หลุดออกมาแบบสุนัขจนตรอกอย่างที่เห็น "ถ้าเอ็งแฉข้า ข้าก็จะแฉเอ็งบ้าง" ...เลือดเข้าตา

กลัวจริงๆ กลัวว่าสักวันหนึ่ง จะเห็นนายอภิสิทธิ์ สุเทพ หรือนายชวนนท์ จะทนความกดดันเหล่านี้ไม่ไหว แล้วเอาผ้าแดงคาดหัว ปักขนไก่ ทาหน้าทาปากเหมือนลิเกออกมารำป้อกลางสี่แยกไฟแดง ร้องตะโกนว่า "พวกเอ็งอย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามา ...กรูตาย" !!!


นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ กรณีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ได้สั่งให้ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น เซ็นยินยอมให้กัมพูชาลากเส้นเขตแดนผ่านเกาะกูด จ.ตราด เข้ามาในอ่าวไทย ว่าคำพูดของนายชวนนท์ เป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนว่าอดีตนายกฯ ทำให้ไทยเสียดินแดน เสียประโยชน์ พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่เปิดโปงเรื่องดังกล่าวสมัยที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล สะท้อนให้เห็นว่าต้องการทำลายเครดิตกันมากกว่า นอกจากนี้ยังป้องนายสุรเกียรติ์ ว่า เป็นผู้รู้กฎหมายดี คงไม่ยอมให้ไทยเสียประโยชน์แน่ งานนี้ นายนพดล เตรียมที่จะยื่นฟ้อง นายชวนนท์ในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะถือว่าเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด


ย้อนปม"เอ็มโอยู"ปี44 จุดร่วมผลประโยชน์ ไทย-กัมพูชา
By: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1315026252&grpid=&catid=01&subcatid=0100

แถลงการณ์ของการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา หรือซีเอ็นพี (Cambodian National Petroleum Authority-CNP) ระบุมีการเจรจาลับระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายซก อัน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถึง 3 ครั้ง กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย กลายเป็นประเด็นร้อนๆ ขึ้นมา เมื่อนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศจะเดินทางไปสอบสวนเรื่องดังกล่าวถึงกรุงพนมเปญ

พร้อมกันนั้น นายสุรพงษ์ยังยิงคำถามว่า ทำไมนายสุเทพจึงไปเจรจาลับกับนายซก อัน ที่เมืองคุนหมิง ประเทศสาธารณรัฐประชาชาจีน และที่เกาะฮ่องกง ในปี 2553 ทั้งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ.2544 หรือเอ็มโอยู ปี 2544 ไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 อีกทั้งยังแต่งตั้งนายสุเทพ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานการเจรจากรอบเอ็มโอยู 2544

"ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังทำอะไรอยู่ หรือกำลังปิดความจริงมาโดยตลอด ว่าเอ็มโอยูปี 2544 ยังไม่ถูกยกเลิก" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตั้งข้อกังขา

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอบโต้รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ให้ย้อนกลับไปดูว่า เอ็มโอยู ปี 2544 มีที่มาที่ไปอย่างไร พร้อมกับย้ำการเจรจาระหว่างนายสุเทพกับนายซก อัน ไม่มีการเอื้อประโยชน์

เพื่อคลี่คลายปมที่มาเอ็มโอยู ปี 2544 "มติชน" ขอนำข้อเขียนของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกฯ ที่ปรากฏในหนังสือชื่อ "กฎหมายและผลประโยชน์ของไทยในอ่าวไทย : กรณีศึกษาบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชาเรื่องการเจรจาสิทธิในอ่าวไทย" มาเรียบเรียงพอสังเขปดังนี้

พื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา มีอยู่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประเมินกันว่ามีขุมทรัพย์มูลค่ามโหฬาร นั่นคือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่ราวๆ 5 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร กลายเป็นปมปัญหามานานแล้ว นับตั้งแต่กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2513 ก็ว่าได้ เนื่องจากฝ่ายไทยไม่ยอมรับคำประกาศดังกล่าว มีผลทำให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายเปิดเจรจาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2-5 ธันวาคม 2513 ที่กรุงพนมเปญ แต่ไม่มีข้อสรุปใด

จนกระทั่งในปี 2537-2538 ทั้งสองฝ่ายเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อน นำไปสู่การจัดทำข้อตกลงชั่วคราว (Provisional Arrangment) ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี พ.ศ.2525 แต่เป็นเพียงการตกลงตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิคไทย-กัมพูชาเพื่อศึกษาปัญหาร่วมกัน และมีการประชุมครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2538 ที่กรุงเทพมหานคร ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิในไหล่ทวีป

ในปี 2543 ความพยายามเจรจาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เริ่มเห็นลู่ทางสดใส เมื่อรัฐบาลทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่า ควรเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย

การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสระหว่างไทยกัมพูชา มีขึ้นที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2544 นำไปสู่การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ ว่าด้วยพื้นที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Memorandum of Understanding between the Royal Thai Government and the Royal Government of Cambodia regarding the Area of their Overlapping Maritime Claims to the Continental Shelf) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544

นายสุรเกียรติ์ เขียนในหนังสือเล่มดังกล่าว ระบุว่า เอ็มโอยู ฉบับนี้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยในหลายประการ

1.การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางด้านเทคนิค มีอำนาจหน้าที่เจรจาเพื่อยกร่างความตกลงเกี่ยวกับการสำรวจขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติ (น้ำมันและก๊าซ) ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วม และยกร่างความตกลงเกี่ยวกับการปักปันเส้นเขตทะเล ทั้งนี้ การมีคณะกรรมการร่วมทางด้านเทคนิคจะทำให้ฝ่ายไทยทราบถึงจุดยืนต่างๆ ของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน ทั้งด้านกฎหมายและการแบ่งผลประโยชน์เหนือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อจะให้ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยทุกหน่วยงานร่วมกันวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งถึงแนวทางร่วมมือระหว่างกันอย่างเหมาะสม

2.เอ็มโอยู ปี 2544 ช่วยกันลดความสุ่มเสี่ยงด้านความขัดแย้งผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และลดผลกระทบด้านสัมพันธภาพระหว่างทั้งสองประเทศ เพราะจะเป็นการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธี

3.บันทึกความเข้าใจฯแม้ยังไม่มีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลกัมพูชายอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูดและยังยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ เกาะกูดอีกด้วย

4.เอ็มโอยูฉบับนี้ยังมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา พ.ศ.2512 และนับเป็นความสำเร็จของรัฐบาลไทยที่สามารถเจรจาให้รัฐบาลกัมพูชายอมรับอย่างเป็นทางการ และเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก

5.เอ็มโอยูปี 2544 ยังนำไปสู่การเจรจาแนวทางการพัฒนาร่วมกันและการแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรปิโตรเลียมเหนือพื้นที่พัฒนาร่วม หากเจรจาได้ข้อยุติโดยเร็ว ฝ่ายไทยจะได้รับผลประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากไทยมีความต้องการด้านพลังงานและปริมาณพลังงานสำรอง อีกทั้งยังมีความพร้อมด้านการลงทุนการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียม มีบริษัทสำรวจและผลิตเป็นของตนเองอีกด้วย

นั่นเป็นที่มาที่ไปและข้อดีของเอ็มโอยู ปี 2544 ที่นายสุรเกียรติ์ บันทึกไว้

แต่กระนั้น เมื่อเกิดรัฐประหาร รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโค่นอำนาจในปี 2549 สถานการณ์ไทย-กัมพูชา เปลี่ยนไปจนกระทั่งมาถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ประกาศยกเลิกเอ็มโอยูปี 2544 อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฯฮุน เซน

นายสุรเกียรติ์ระบุไว้ว่า หากรัฐบาลไทยบอกเลิกเอ็มโอยูปี 2544 มีผลสมบูรณ์ทั้งทางกฎหมายภายในและระหว่างประเทศแล้ว จะมีผลเท่ากับเป็นการทำลายผลประโยชน์ที่ประเทศไทยควรจะได้รับในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอ่าวไทย

เปิดบันทึกความเข้าใจ พื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย

หมายเหตุ - บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2544 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ลงนามโดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายซก อาน รัฐมนตรีอาวุโส ประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา

รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (ต่อไปนี้เรียกว่า ภาคีผู้ทำสัญญา) ปรารถนาที่จะกระชับความผูกพันแห่งมิตรภาพซึ่งมีมาช้านานระหว่างประเทศทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ตระหนักว่าจากผลของการอ้างสิทธิของประเทศทั้งสองในเรื่องทะเลอาณาเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะในอ่าวไทย ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน (พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน)

พิจารณาว่าเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศทั้งสองที่จะตกลงกันบนพื้นฐานที่ยอมรับได้ร่วมกันโดยเร็ว สำหรับการแสวงประโยชน์ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนโดยเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ และรับทราบความเข้าใจซึ่งบรรลุร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของประเทศทั้งสองดังปรากฏในบันทึกการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการที่ชะอำเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2543 และที่เสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2544 ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

1.ภาคีผู้ทำสัญญาพิจารณาว่าเป็นที่พึ่งปรารถนาที่จะทำข้อตกลงชั่วคราว ซึ่งมีลักษณะที่สามารถปฏิบัติได้ในเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน

2.เป็นเจตนารมณ์ของภาคีผู้ทำสัญญา โดยการเร่งรัดการเจรจาที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้ไปพร้อมกัน

(ก) จัดทำความตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอยู่ในพื้นที่พัฒนาร่วมดังปรากฏตามเอกสารแนบท้าย (สนธิสัญญาการพัฒนาร่วม) และ

(ข) ตกลงแบ่งเขตซึ่งสามารถยอมรับได้ร่วมกันสำหรับทะเลอาณาเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจ จำเพาะในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขต ดังปรากฏตามเอกสารแนบท้ายเป็นเจตนารมณ์ที่แน่นอนของภาคีผู้ทำสัญญาที่จะถือปฏิบัติบทบัญญัติของข้อ (ก) และ (ข) ข้างต้นในลักษณะที่ไม่อาจแบ่งแยกได้

3.เพื่อวัตถุประสงค์ตามข้อ 2 จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากแต่ละประเทศแยกต่างหากจากกัน คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคมีหน้าที่รับผิดชอบสำหรับการกำหนด

(ก) เงื่อนไขที่ตกลงร่วมกันของสนธิสัญญาการพัฒนาร่วม รวมถึงพื้นฐานซึ่งยอมรับร่วมกันในการแบ่งปันค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ของการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม และ

(ข) การแบ่งเขต ทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะระหว่างเขตที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิอยู่ในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งใช้บังคับ

4.คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคจะประชุมกันโดยสม่ำเสมอเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้เสร็จสิ้นโดยเร็ว คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคอาจจัดตั้งคณะอนุกรรมการตามที่เห็นว่าเหมาะสม

5.ภายใต้เงื่อนไขการมีผลใช้บังคับการแบ่งเขตสำหรับการอ้างสิทธิทางทะเลของภาคีผู้ทำสัญญาในพื้นที่ที่ต้องมีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจนี้ และการดำเนินการทั้งหลายตามบันทึกความเข้าใจนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละภาคีผู้ทำสัญญา

56> หึหึ..."สื่อสารมวลชน" ???????????? "สื่อสารเผด็จการชน"


43... Wow!!! พรุ่งนี้(27ส.ค.54) นายกฯปู ลดราคาน้ำมัน
44... ประชาชนกำลังมีความสุข...อย่าชักใบให้เรือเสียเลยพ่อมหาจำเริญ


หึหึ..."สื่อสารมวลชน" ???????????? "สื่อสารเผด็จการชน"
By: Jitara

เมื่อได้รัฐบาลที่มาจากคะแนนเสียงประชาชนทีไร สื่อมวลชนจะต้องหยิบยกคำว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อกับการคุกคามสื่อ มาแหกปากตะโกนเรียกร้องอย่างน่าเบื่อหน่ายทุกทีไป

แต่สมัยที่แล้วหรือสมัยที่มีรัฐบาลที่มีที่มาอย่างพิกลพิการ เช่น รัฐบาลที่มาจากค่ายทหาร รัฐบาลที่มาจากการวิ่งราว และรัฐบาลที่มาจากยึดอำนาจจากคณะรัฐประหาร ปล้นอำนาจประชาชนที่ใช้กำลังทหารและเผด็จการอำมาตย์ควบคุมรัฐบาลอย่างเบ็ดเสร็จ

คำว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อและการคุกคามสื่อ คำเหล่านี้หายไปในบัดดล ไม่มีสื่อไหนหยิบยกมาเรียกร้องความเป็นธรรมความเที่ยงตรงในจรรยาบรรณสื่อ และเอาคำว่าสิทธิการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือนข่าวสาร มาพูดถึงเลย

ทั้งๆที่สื่อสารมวลชนในยุคเผด็จการครองอำนาจนั้น สื่อสารมวลชนทุกแขนงโดนควบคุมและคุกคามหนักหน่วงยิ่งกว่ายุคใดๆ

แต่ไม่มีสื่อหน้าไหน กล้าออกมาแหกปากเรียกร้องหาจรรยาบรรณและความเที่ยงตรงในการนำเสนอเนื้อหาข่าวเลยซักคนเดียว

พอถึงเวลารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มาจากเสียงที่แท้จริงจากประชาชนเกิดขึ้นเมื่อไหร่

สื่อสารมวลชนไทยทำตัวเป็นตัวจระเข้ขวางลำคลองทันที แสดงตัวปีกกล้าขาแข็งต่างไปจากยุคเผด็จการอย่างชัดเจน ตั้งตัวเป็นศัตรูของรัฐบาลจากประชาชนและท้าทายอำนาจประชาชนทุกคราไป

จึงกล่าวได้ว่าคนพวกนี้ไม่สมควรเรียกตัวว่า "สื่อสารมวลชน" ควรเปลี่ยนชื่อเป็น "สื่อสารเผด็จการชน" เพราะพฤติกรรมของพวกเขาเหล่านี้ ไม่ใช่ สื่อสารมวลชนอีกต่อไป แต่เป็นแค่ลิ่วล้อรับใช้เครือข่ายอำมาตย์ผู้ฝักใฝ่เผด็จการแต่เพียงเท่านั้น


จดหมายถึงสมาคมสื่อทุกแขนงแห่งประเทศไทย

เรียนสมาคมสื่อฯ ทุกแห่งในประเทศไทย

เรื่อง ขอความกรุณา แยกแยะ การคุกคามสื่อ กับการวิพากษ์การทำงานของสื่อภาคสนามที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมบางคน

สองสามวันมานี้ ในฐานะประชาชนคนเสื้อแดงคนหนึ่ง รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง กับการออกแถลงการณ์ การออกหนังสือประณาม การเรียกร้องไปยัง คุณยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย

ให้ออกมาห้าม ปราม ปราบ กำหราบ ดุด่า ฯลฯ มิให้ คนเสื้อแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเสื้อแดงในเว็บบอร์ด ต่างๆ ข่มขู่คุกคาม การทำหน้าที่ของสื่อ

ผมในฐานะ คนเสื้อแดงในโลกแห่งเว็บบอร์ดคนหนึ่ง (ซึ่งน่าจะเป็นคู่กรณีโดยตรง) ที่วิพากษ์ วิจารณ์ การทำงาน ของสื่อมวลชน ที่อยู่ในกระแสแห่งการต่อสู้ แยกข้าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อย่างชัดเจน ในขณะนี้

ขออนุญาต ชี้แจงแสดงความในใจไปถึง นักข่าวภาคสนาม (โดยเฉพาะคุณสมจิตร) และสมาคมสื่อ ต่างๆ ที่ออกมาเรียกร้องในประเด็น ดังกล่าว ดังนี้

1. ขอให้ สมาคมสื่อวิทยุ และโทรทัศน์ และสภาการหนังสือพิมพ์ ต่างๆ ได้กรุณา ทบทวน การทำหน้าที่ของนักข่าวภาคสนาม ในสังกัดของพวกท่านว่า ทำตามจรรยาบรรณของวิชาชีพสื่อ อย่างแท้จริงหรือยัง

2. กรณี คำถามของคุณสมจิตร อันเป็นประเด็น ทอล์คออฟเดอะทาวน์ นี้ เป็นการแสดงคำถามที่ปราศจาก อคติ ความเกลียดชัง และมีส่วนได้ส่วนเสีย กับพรรคการเมือง หรือไม่

(คำถามของคุณสมจิตร..."นายกฯปู คิดจะแก้ รัฐธรรมนูญ เพื่อ อภัยโทษ ให้ทักษิณ ใช่หรือไม่"

เรื่องนี้นายกฯปูเคยตอบไปกว่าสิบๆครั้งแล้ว..."แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เกี่ยวท่านทักษิณ โทษคดีต่างๆก็ยังอยู่ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม"

พอดีดูทีวีช่วงนี้อยู่ เห็นสีหน้าท่านนายกฯปูดูเหมือนเบื่อหรือเซ็ง เพราะพอท่านลงมาพวกนักข่าวก็รุมล้อม คำถามก็ซ้ำซาก วนเวียนเหมือนเดิม ตอบแล้วตอบอีกไม่จบเสียที)


3. รู้สึกแปลกใจหรือไม่ กับพฤติกรรมของนักข่าวภาคสนาม ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทำไม ความรู้สึกของประชาชน จำนวนหนึ่ง ถึงได้รู้สึกเกลียดชังนักข่าวแห่งช่อง 7 สี คนนี้ มากเป็นกรณีพิเศษและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ได้ถึงขนาดนี้

ในฐานะของคนเสื้อแดงที่คลุกคลี รู้จักตัวตนคนเสื้อแดง ในโลกอินเตอร์เน็ท ทั้งในเว็บบอร์ดและในกิจกรรมภาคสนาม ขอยืนยันว่า พวกเรามีวุฒิภาวะ ทางอารมณ์ ของการอยู่ร่วมกันในสังคมมากพอ เราไม่ใช่กลุ่มล้าหลังคลั่งชาติ รักหรือโกรธเกลียดใคร โดยไร้เหตุผล

และที่อยากจะเรียนให้สมาคมสื่อ ทุกสำนักได้ทราบเป็นอย่างยิ่งก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย จนตลอดไปถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณก็ไม่สามารถจะห้าม คนเสื้อแดงได้

การตัดสินใจประณาม วิพากษ์ หาหนทางในการ ตอบโต้ที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้พื้นฐานของการไม่กระทำผิดต่อกฎหมาย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ของพวกเรา

การจะให้ วิญญูชน ยอมรับการทำงานของสื่อ นั้นไม่ใช่ต้องเขียนเชียร์ พรรคการเมือง หรือบุคคลทางการเมือง ที่คนเสื้อแดงชื่นชอบ แต่หากการตรวจสอบนโยบาย การกระทำของผู้มีอำนาจรัฐนั้น มาจากพื้นฐานในวิชาชีพ และจรรยาบรรณ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมรับรองได้เลยว่า คนเสื้อแดงจะไม่แสดงพฤติกรรม ตอบโต้ผ่านหน้าเว็บบอร์ดนั้นอย่างรุนแรงเฉกเช่นที่ คุณสมจิตร แห่งช่อง 7 สี ได้รับอยู่ในขณะนี้

จริงอยู่ สื่อมวลชนมีหน้าที่นำเสนอความจริง และสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของประชาชนในสังคม บางครั้งสื่อเปรียบเทียบตนเองว่าเป็น สุนัขเฝ้าบ้าน แต่หากว่า สุนัขเฝ้าบ้าน กลับเป็นโรคกลัวน้ำ เสียสติ หรือไม่ทำหน้าที่สุนัขเฝ้าบ้านอย่างเที่ยงตรง

จะให้ประชาชน ในฐานะเจ้าของบ้าน เลี้ยงเอาไว้อีกหรือ?

วันนี้ ในฐานะประชาชน ที่มองเห็นปฐมเหตุแห่งความวุ่นวายมาตั้งแต่ต้น ผมขออนุญาตประณามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่า พรรคการเมือง กองทัพ อำนาจที่มองไม่เป็น รวมตลอดถึงสื่อมวลชนในประเทศไทย

ที่มีส่วนร่วมทำให้ความแตกแยกของคนในชาติ ก้าวมาถึงจุดเสียหายแก่ประเทศ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศนี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความวุ่นวายทางด้านการเมืองที่ผ่านมา สื่อมวลชนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง ไม่ว่าการนำเสนอข่าวในทางยั่วยุ ปลุกปั่น สร้างสถานการณ์

กรณีของคุณสมจิตร ผมจะไม่ขอวิพากษ์ใดๆอีก เพราะดูเธอก็ร้อนรน จาก วจีกรรมในการทำหน้าที่ อันได้รับการตอบสนองจาก พี่น้องประชาชนทั่วประเทศอย่างสาสมไปในระดับหนึ่งแล้ว

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระจกสะท้อนการทำงานของสื่อ ในครั้งนี้ คงฉุกคิดให้สื่อได้ทำหน้าที่ โดยปราศจากอคติ ความเกลียดชัง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมาอีก

หวังว่าสมาคมสื่อ คงจะรับฟังและนำไปปรับปรุงการทำหน้าที่ อย่างถูกต้องให้สมกับ สุนัขเฝ้าบ้าน ตามที่พวกท่านได้บอกหลักการทำหน้าที่ของท่านกับสังคม

ขอแสดงความนับถือ

สายลมรัก คนเสื้อแดงในโลกไซเบอร์



จรรยาบรรณหนังสือพิมพ์ และ จรรยาบรรณสื่อวิทยุและโทรทัศน์

1. จรรยาบรรณหนังสือพิมพ์ โดย สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

โดยได้กำหนด "จริยธรรมของสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2510 ไว้ดังนี้

ความรับผิดชอบ (Responsibility) ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์อันชอบธรรมของปัจเจกชน สถาบัน ประเทศชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์ (ตรงกับหลักพุทธศาสนาคือ กิจญาณ)

ความมีเสรีภาพ (Freedom) ได้แก่ เสรีภาพที่มีความรับผิดชอบกำกับ (ตรงกับหลักธรรมในพุทธสาสนาคือ ปวารณา หรือ ธรรมาธิปไตย)

ความเป็นไท (Independence) ได้แก่ ความไม่ตกเป็นทาสของใครทั้งกายและจิตใจ โดยอามิสสินจ้างอื่นใด(ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนาคือ ความไม่ตกเป็นทาสของอกุศลมูล)

ความจริงใจ (Sincerity) ได้แก่ ความไม่มีเจตนาบิดเบือน ผิดพลาดต้องรีบแก้ไข (ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ สัจจะ)

ความเที่ยงธรรม (Impartiality) ได้แก่ ความไม่ลำเอียง หรือความไม่เข้าใครออกใคร (ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ ความไม่มีอคติ 4 ประการ หมายถึง "ฉันทาคติ" ลำเอียงเพราะรัก "โทสาคติ" ลำเอียงเพราะชัง "ภยาคติ" ลำเอียงเพราะกลัว "โมหาคติ" ลำเอียงเพราะหลง)

ความมีน้ำใจนักกีฬา (Fair Play) ได้แก่ การปฏิบัติดีงาม ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ (ตรงกับหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ สุปฏิบัติ)

ความมีมารยาท (Decency) ได้แก่ การใช้ภาษาและภาพที่ไม่หยาบโลนและลามกอนาจาร หรือส่อไปในทางดังกล่าว (ตรงกับหลักพุทธศาสนาคือ โสเจยยะ หรืออาจารย์สมบัติ)

นอกจาก "จริยธรรมของสามาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" แล้ว ยังกำหนด "จรรยาบรรณหนังสือพิมพ์" ไว้อีก 7 ข้อ คือ

การส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ เป็นภารกิจอันมีความสำคัญเหนืออื่นใดสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์

การเสนอข่าว ภาพ หรือการแสดงความคิดเห็น ต้องเป็นไปด้วยความสุภาพ สุจริต ปราศจากความมุ่งหวังในประโยชน์ส่วนตนหรืออามิสสินจ้างใดๆ

การเสนอข่าวต้องเสนอแต่ความจริง พึงละเว้นการต่อเติมเสริมแต่ง หากปรากฏว่าข่าวใดๆไม่ตรงต่อความจริงต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว

การที่จะให้ได้ข่าว ภาพ หรือข้อมูลอย่างใดๆมาเป็นของตน ต้องใช้วิธีการที่สุภาพและซื่อสัตย์

ต้องเคารพต่อความไว้วางใจที่ได้รับมอบหมายจากการปฏิบัติหน้าที่ในวิชาชีพของตน

ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยถือเอาสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตน หรือหมู่คณะโดยมิชอบ

ต้องไม่กระทำการใดๆอันเป็นการบั่นทอนเกียรติคุณของวิชาชีพหรือความสามัคคีของเพื่อนร่วมวิชาชีพ



2. จรรยาบรรณสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดย สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

โดยได้ตราประมวลจรรยาบรรณวิชาชีพนักจัดรายวิทยุและโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2538 แบ่งเป็น 5 หมวด คือ หมวดทั่วไป หมวดจรรยาบรรณในการเสนอข่าว หมวดจรรยาบรรณในการแสดงความเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ หมวดจรรยาบรรณในการประกาศโฆษณา หมวดความประพฤติ ในที่นี้จะยกหมวดว่าด้วยการเสนอข่าว มาเป็นหลักในการพิจารณาคือ

ไม่เสนอข่าวและภาพซึ่งรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเท็จ ไม่ว่าลักษณะใดๆ

ไม่เสนอข่าวและภาพซึ่งทำให้ประชาชนเสียขวัญ เกิดการแตกแยกกระทบกระเทือนความมั่นคงแห่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างประเทศ

ไม่เสนอข่าวและภาพลามกอนาจาร ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ไม่เสนอข่าวลือและภาพไร้สาระ ชวนให้หลงเชื่องมงาย

ไม่เสนอข่าวลือและภาพไร้สาระ

ไม่สอดแทรกความเห็นใดๆของตนลงไปในข่าว

ในกรณีคัดลอกข้อความจากหนังสือพิมพ์ หรือหนังสืออื่น ต้องแจ้งให้ทราบถึงแหล่งที่มาของข้อความนั้น

ภาษาที่ใช้ในการเสนอข่าวและการบรรยายภาพต้องสุภาพ ปราศจากความหมายในเชิงเหยียดหยาม กระทบกระเทียบ เปรียบเปรย เสียดสี

ไม่ใช้การเสนอข่าวและภาพเป็นไปในทางโฆษณาตนเอง

ไม่เสนอข่าวและภาพซึ่งขัดกับสาธารณประโยชน์ของประชาชนและสังคมประเทศชาติ

ไม่เสนอข่าวและภาพซ้ำเติม ระบายสี บุคคล องค์กร สถาบัน ซึ่งตกเป็นข่าว

ไม่เสนอข่าวและภาพ ในเชิงดูหมิ่นเหยียดหยามลัทธิความเชื่อศาสนาใดๆ

พึงให้ความเคารพต่อสิทธิของบุคคล องค์กร และสถาบันอื่นตามกฎหมาย

พึงรับผิดและแก้ไขโดยเปิดเผยและไม่ชักช้าถ้าเกิดความเสียหายแก่บุคคล องค์กร หรือสถาบัน ในการเสนอข่าวผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

พึงละเว้นจากการรับอามิสสินจ้างใดๆ ให้ทำหรือละเว้นการกระทำเกี่ยวกับการเสนอข่าวตรงไปตรงมา

หลักจริยธรรมหรือจรรยาบรรณขององค์กรสื่อที่ยกมาข้างต้นนั้น ได้รับรองสิทธิและเสรีภาพในการเสนอข่าวสารของสื่อแต่ต้องเป็นไปโดยเคารพกฎระเบียบและไม่ละเมิดผู้อื่น ทั้งยังกำหนดให้สื่อยึดถือประโยชน์แห่งสาธารณะเป็นหลัก มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ให้เกียรติแก่ผู้อื่น

เป็นที่น่าสังเกตว่าหลักจริยธรรมของสมาคมหนังสือพิมพ์ที่ออกมาเมื่อ 44 ปีก่อน(พ.ศ.2510) และจรรยาบรรณวิชาชีพนักจัดรายวิทยุและโทรทัศน์ ที่ตราออกมาเมื่อ 16 ปีก่อน(พ.ศ.2538) ยังคงเป็นสิ่งที่สื่อโดยทั่วไปคำนึงถึงและให้ความสำคัญกันอยู่หรือไม่ หรือคิดไปว่าข้อกำหนดเหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนไปโดยนวัตกรรมใหม่ๆ ของสื่อเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันไปแล้ว????????????

55> เสียดายเวลาที่ผ่านมา 5 ปีมากๆเลยนะฮ้า


นายกฯยิ่งลักษณ์แก้ปัญหาน้ำท่วมแบบ 2P 2R

เมื่อวาน (20ส.ค.54) นั่งฟัง นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนที่เกี่ยวข้องผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อหาแนวทางแก้ไขและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวถึง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ว่า จะเป็นอำเภอนำร่องเป็น "บางระกำโมเดล" ในการทำงานรับมือกับสถานการณ์น้ำ

เท่าที่นั่งฟังนายกฯเลคเช่อร์ ให้ผู้เกี่ยวข้องแก้ปัญหาแบบ 2P 2R แล้ว แสดงให้เห็นว่า นายกฯปู ได้ทำการบ้านมาอย่างดี เพราะได้มีการคิดแนวทางแก้ปัญหามาก่อนที่จะเข้าประชุม ไม่ได้มาด้นสด แบบนายกฯบางท่าน ต้องยกนิ้วให้จริงๆ

นโยบาย 2P 2R ของท่านนายกฯ พีแรก Preparation คือการเตรียมการแก้ปัญหาล่วงหน้า พีที่สอง Prevention คือการป้องกันล่วงหน้า ส่วน อาร์ที่หนึ่ง Response คือการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว และ อาร์สุดท้าย Recovery คือการช่วยเหลือหลังน้ำลด

เห็นวิสัยทัศน์อย่างนี้ ก็ต้องยกนิ้วให้นายกฯปู เพราะเป็นการพิสูจน์กึ๋นการทำงานระดับหนึ่งเชิงรุก ไม่ใช่รอรับรายงาน และปล่อยให้ข้าราชการประจำแก้ปัญหาไป ตามมี ตามเกิด อย่างที่ผ่านมา

คลิกที่ภาพ...ดูภาพขนาดที่ใหญ่ขึ้น

เสียดายเวลาที่ผ่านมา 5 ปีมากๆเลยนะฮ้า
By: นางฟ้านะยะ

เวลาเหมือนสายน้ำไม่ไหลกลับก็จริง

แต่ประเทศไทยนั้น กลับเหมือนอยู่ในน้ำวน มากกว่าสายน้ำที่ไหลไปข้างหน้า

เพราะ 5 ปีกว่าผ่านมานั้น คนไทยกลับมาสู่จุดเดิม และยังถอยหลังไปอีกด้วยซ้ำ

ท้ายสุด เราก็ยังคงได้รัฐบาลจากคนในตระกูลชินวัตรอยู่ดี และทักษิณแม้ไม่ได้เป็นนายกฯแต่ใครๆก็รู้ว่าเขามีส่วนช่วยเหลือน้องสาวในชัยชนะของการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มากก็น้อย

คนไทยเคยคิดบ้างไหมว่า ทำไมเราต้องเสียเวลาไป 5 ปีเพื่อย้อนกลับมาที่เดิม ทั้งๆที่เวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น ประเทศเราอาจจะเจริญเทียบเท่ากับสิงคโปร์ไปแล้วก็เป็นได้

หากทหารไม่ออกมาทำรัฐประหาร เพื่อหยุดอำนาจตามระบอบ ประชาธิปไตยที่กำลังพาประเทศไทยเดินไปข้างหน้าจนประเทศเพื่อนบ้านต่างพากันอิจฉา

แต่ความอิจฉาที่ร้ายแรงที่สุด กลับมาจากคนในประเทศเรากันเอง จนยอมที่จะให้ทหารทำการรัฐประหารเพียงเพราะข้อกล่าวหา 4 ข้อเท่านั้น

หากการรัฐประหารสามารถจะเอาผิดทักษิณได้ อาจจะคิดในแง่ดีได้ว่าเป็นการหยุดประเทศเพื่อขจัดภัยอันตรายที่เกิดขึ้น

กลับกลายเป็นว่า แม้จะใช้อำนาจเผด็จการ ก็ยังคงไม่สามารถเอาผิดได้เหมือนเดิม...

นักวิชาการ องค์กรอิสระต่างๆที่ร่วมในการล้มทักษิณ อ้างว่ามีหลักฐานมากมายสามารถเอาผิดได้ภายใน 7 วันด้วยซ้ำ ล้วนขึ้นมามีอำนาจอย่างเต็มที่กันหมด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อย่างที่เคยคุยเอาไว้

5 ปีที่ผ่านมา บางคดีที่หยิบเอามากล่าวหาว่ามีการทุจริต ศาลกลับพิจารณาว่าไม่ผิดด้วยซ้ำ เช่นคดีกล้ายาง หวยบนดิน ซีทีเอ๊กซ์ ฯลฯ

มีเพียงคดีที่ดินรัชดาเท่านั้น ที่ศาลพิจารณาว่าผิด แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนคลางแคลงใจด้วยว่า แค่เซ็นชื่อให้ภรรยาเท่านั้น ความผิดมันรุนแรงถึงขั้นต้องทำรัฐประหารเชียวหรือ?

ดังนั้น หลังจากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายหลังจากการมีรัฐประหาร พรรคการเมืองที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็ยังคงเป็นพรรคการเมืองที่ทักษิณหนุนหลังอยู่ดี โดยที่ประชาชนที่ไปลงคะแนนเสียงล้วนแล้วแต่รู้ว่าที่ไปเลือกพรรคพลังประชาชนก็เพราะอยากจะให้ทักษิณกลับประเทศ

จนมาถึงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ผลก็คงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พรรคที่สนับสนุนทักษิณก็ยังคงได้รับชัยชนะ และเป็นการชนะที่ขาดลอยอีกด้วย

บอกตรงๆว่า นางฟ้าเสียดายเวลาที่ผ่านไปจริงๆ

ได้แต่หวังว่า บทเรียนใน 5 ปีที่ผ่านมา คงจะทำให้ประชาชนคนไทยตาสว่างขึ้น และเลิกคิดว่าการรัฐประหารนั้นสามารถแก้ปัญหาทางการเมืองได้เสียที

หวังว่า 5 ปีอันเลวร้ายที่ผ่านมานั้น คงไม่กลับมาเกิดขึ้นกับประเทศไทยอีกครั้งนะฮ้า

ที่บอกว่าประเทศชาติถอยหลังก็เพราะ

1. จากประเทศที่ยาเสพติดถูกกวาดล้างไปแล้ว บัดนี้มันกลับมาระบาดเหมือนเดิม

2. จากประเทศที่สามารถทำงบประมาณสมดุล กลายเป็นกู้เงินมากเป็นประวัติการณ์

3. จากประเทศที่เป็นมิตรกับทั่วโลก กลายเป็นประเทศที่ไม่มีใครคบหา แม้แต่กัมพูชายังไม่ให้เกียรติประเทศเราเลย

4. จากประเทศที่กำลังจะเป็นผู้นำอาเชี่ยน กลายเป็นประเทศ ที่เป็นตัวปัญหาของอาเชี่ยน

เพียงแค่นี้ มันฉิบหายมากกว่าคดีที่ดินรัชดาไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนเท่าแล้วนะฮ้า


By: เห็ดหอม ที่ดินนี้ เดิมเป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง กองทุนฟื้นฟู ยึดมาจากบริษัทสินทรัพย์ที่ล้มช่วงปี 2540

พ.ศ.2546 คุณหญิงซื้อได้ 772 ล้าน (เนื้อที่ 22 ไร่ 78.9 ตารางวา) ... บอกว่ากองทุนขาดทุนยับเยิน

ไปยึดคืนมา ... ต้องจ่ายเงินไปประมาณ 1,300 ล้านบาทเพื่อเอาที่ดินคืน

พ.ศ.2554 ขายได้ 1,815 ล้าน (เนื้อที่ 33 ไร่ 81 ตารางวา) ... บอกว่าขายได้กำไรคงน่าเกลียดน่าดู...

ข้อสังเกต: พ.ศ.2546 ขายให้คุณหญิง เนื้อที่ 22 ไร่ 78.9 ตารางวา เป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง // พ.ศ.2554 ขายให้ศุภาลัย เนื้อที่ 33 ไร่ 81 ตารางวา แก้กฎหมายให้สร้างอาคารสูงได้

ถามจริงๆเหอะครับ เนื้อที่ก็มากกว่า 11 ไร่ และถ้าไม่แก้กฎหมายเอื้อประโยชน์แก่ กลุ่มนายทุน ให้สร้างอาคารสูงบริเวณตรงนั้นได้ ... จะขายได้มั้ยครับในราคาเกือบ 2 พันล้าน ????

พ.ศ.2546 กับ พ.ศ.2554 ค่าของเงินมันต่างกัน ... ตอนนั้นราคาทองบาทละ 6-7พัน แต่ตอนนี้บาทละ 2หมื่น5

มองมุมไหนก็ขาดทุน แถมยังเสียค่าโง่เพิ่มไปอีก ... ประเทศชาติไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เสียทั้งคนทำงานดีๆ เสียทั้งเงิน เสียทั้งโอกาสความก้าวหน้าของประเทศ แถมโดนหลอก ...


By: ตาซัง ถือว่า 5 ปี ที่ผ่านมาแลกกับการตาสว่างอย่างทั่วถึงล่ะกันนะ

By: นางฟ้านะยะ ถ้ามองโลกในแง่ดี มันก็โอเค

เสียอย่างเดียวคือ คนไทยลืมง่าย

ยกตัวอย่างตอนพิษต้มยำกุ้ง ที่ทำให้คนไทยหดหู่กันทั้งประเทศ

ถ้าไม่ได้ทักษิณ ปล่อยให้ ปชป. บริหารประเทศ ไม่รู้อีกกี่ชาติจึงจะเป็นไทได้

รัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็เห็นๆกันอยู่ว่า ปชป. นั้น"ดีแต่พูด"กับ"สร้างภาพ" และเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ยุคนายชวนแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นเอาตอนนี้

พอเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้องจนมีอนาคตสดใส ก็ออกมาถล่มทักษิณโดยไม่ฟังถึงเหตุและผล

นิสัยคนไทยนั้น นอกจากจะลืมง่ายแล้ว ยังไม่อยากเห็นใครเก่งเกินกว่าตัวเองอีกด้วย

คนดีและเก่ง เขาจึงเอือมระอากับประเทศไทย จนไม่อยากจะเข้ามาทำงานทางด้านการเมืองยังไงหละฮ้า

คลิกที่ภาพ...ดูภาพขนาดที่ใหญ่ขึ้น

54> ผมโคตรสงสัย...ทำไมทักษิณเขาบินไปไหนมาไหนได้ พ่อแม่เมิงจะชักตายหรือครับ

ข่าวความเคลื่อนไหวอื่นๆ เชิญที่เว็บนี้ครับ....


ผมโคตรสงสัย...ทำไมทักษิณเขาบินไปไหนมาไหนได้ พ่อแม่เมิงจะชักตายหรือครับ
By: สายลมรัก

"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"

"ปูเขาโคลนนิ่ง วิธีทำการทำงานผมมานะ แต่เขาจะแตกต่างกับผมตรงรอบคอบกว่า"

ทักษิณ เป็นพี่ยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์เป็นน้องทักษิณ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิยาย

เรื่องทักษิณโดนสั่งจำคุกเนี่ย จะให้เขียนมั้ยว่า มันพิลึกกึกกือขนาดไหน คนขายไม่ผิด คนซื้อไม่ผิด คนยินยอมให้เขาซื้อขายกันผิด

นักกฎหมาย ระดับหัวหน้าคณะ ผู้พิพากษา แอบกระซิบบอกผมว่า "สายลม แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นการสั่งจำคุกแบบไม่ต้องการให้อยู่ในประเทศนี้" ในแบบเรื่องการเมืองเต็มๆ

ความสัมพันธ์ ระหว่างคุณทักษิณกับพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ว่าประชาชนไม่รู้ คนเสื้อแดงรักบ้าง สงสารบ้าง เฉยๆบ้างกับคุณทักษิณ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร

เพราะสิ่งที่เขาคาดหวังว่า...พรรคเพื่อไทยจะทำงานให้เขา ตามสัญญาที่บอกไว้เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

ทักษิณ จะบินไปสอนหนังสือ จะบินไปเป็นทูตช่วยการค้าขายให้ เป็นการทำให้ประเทศไทยดีขึ้น แล้วมันเสียหายกับประเทศนี้กงไหน ? ? ?

ผมว่าดีกว่านายกษิต ที่หลายประเทศเขาเบือนหน้าหนี เวลาไปเยือน

นี่ถ้าเขาไม่ถือว่าเป็น ตัวแทนของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เขาคงถีบกระเด็นออกไปนอกประเทศแล้ว


ยิ่งฟังตรรกะของพันธมิตร ผมแม่ม...โคตรมึน มันบอกว่าทักษิณเป็นนักโทษแล้ว ห้ามรัฐบาลช่วย ควรช่วยวีระ กับราตรีก่อน เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด

ทั้งๆที่ก็โดนสั่งจากศาลของทั้งสองประเทศเหมือนกัน (โคตรฮา กับวิทยุของพันธมิตรจริงๆ)

สื่อบางค่าย กับนายอภิสิทธิ์ ก็พยายามพร้อมใจกันจะเป็นพยาธิ ไปอยู่ในอุจจาระของทักษิณ ทักษิณตดปุ๊บ พรรคประชาธิปัตย์ และสื่อมวลชนบางค่าย ก็วิ่งไปดมดากคุณทักษิณ ว่ากินอะไรไปบ้าง หอมมั้ย กลิ่นอะไร แล้วก็เอามาเป็นประเด็น


น้ำท่วม เศรษฐกิจ การทำนโยบายให้เป็นไปตามที่สัญญา เป็นเรื่องสำคัญ

กว่า 15 ล้านเสียง กับ 265 ส.ส. ที่ประชาชนคนไทยเลือกเข้ามาทำหน้าที่แทนหนะ...

ขอประทานโทษ...เขารู้ว่านายกฯปู เป็นน้องสาวของทักษิณ

การเลือกคุณปูเป็นนายกฯ ก็คือเลือกทักษิณให้ทำงานให้ด้วย ฉะนั้นเรื่องประเทศไหน ถูกขอความร่วมมือในการให้เข้าประเทศ จึงเป็นเรื่องธรรมดา

ขนาดเยอรมัน ฟินแลนด์ ยังแอ่นระแน้ออกมาเป็นประเทศแรกๆ

นี่ไม่นับประเทศต่างๆ ที่เขาไม่สนประเทศทร้วยส์ ปล่อยให้ทักษิณพำนัก บินไปทำธุรกิจ อีกเป็น สิบๆ ประเทศ ในตอนที่เราได้ กุ๊ยส์ เป็น รมต.ต่างประเทศนะ

ทำใจให้เป็นปกติกันเถิด แม่จำเนียร...อย่าได้เอาเรื่องกระพี้ มาเป็นแก่น บอกตรงๆ ชักรำคาญ

ทักษิณจะไปไหน ทักษิณจะทำอะไร ออกมาร้องโหยหวน เป็น "เปรต" ขอส่วนบุญไปได้

ทำไม การเดินทางไปไหนมาไหน พ่อแม่เมิงจะลมสว้านแดรกตายหรือ...? ?

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็บอกมา...


ประเทศไทยโชคดีที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ ยิ่งลักษณ์ นะฮ้า
By: นางฟ้านะยะ

อิอิ...นางฟ้าไม่ใช่ป๋า แต่ขอยืมคำพูดของป๋ามาใช้บ้าง

แม้เครดิตนางฟ้าจะไม่เทียบเท่ากับป๋า แต่รับรองว่านางฟ้ามีเหตุผลมารองรับคำพูดมากกว่าป๋าแน่นอน

จะไม่เรียกว่าโชคดีได้อย่างไร ในเมื่อเราได้นายกฯที่ขยันขันแข็ง ทำงานอย่างเดียวโดยไม่คิดจะสร้างภาพ ขนาดวันอาทิตย์ยังเช่าฮ.โดยใช้เงินส่วนตัวเพื่อไปดูปัญหาที่ประชาชนเดือดร้อนทั้งๆที่ยังไม่ได้แถลงนโยบายด้วยซ้ำ

ยังไม่พอ คนไทยยังโชคดีอีก ที่ได้รับการช่วยเหลือจากนายมาร์คอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ตอนที่นายมาร์คเป็นผู้นำ กว่าจะเดินทางไปช่วยเหลือหรือไปแจกของ พิธีกรข่าวเอกชน ยังไปช่วยเหลือประชาชนได้ก่อนเลย เท่ากับว่าประชาชนได้รับการดูแลจากนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างแข็งขัน

มีรัฐบาลที่ไหนบ้าง ที่สามารถทำให้ฝ่ายค้านมาทำผลงานแข่งกับรัฐบาลเหมือนกับรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ในตอนนี้ และพวกองค์กรอิสระก็เริ่มโผล่ออกมาจากรูทีละตัว หลังจากกบดานจำศีลมา 2 ปีกว่า ทำให้การทำงานของรัฐบาลชุดนี้มีการตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง ประชาชนจะได้มั่นใจว่า รัฐบาลมีการทำงานที่โปร่งใสจริงๆ

แบบนี้จะไม่เรียกว่าคนไทยโชคดี แล้วจะเรียกว่าอะไรได้หละ ชิมิฮ้า

16 สิงหาคม 2554 @ช่อง3 By: ดาบปลายปืน













By: ชาดสิริ
ไม่อยากใช้คำว่าสวย เพราะทุกสิ่งมันเลยข้ามคำว่า"สวย"ไปแล้ว แต่ทั้งหมดนี้คือความงามที่เปล่งออกมาจากภายใน ความฉลาด ความบริสุทธิ์ ที่ดูงดงามดุจประกายที่เปล่งออกมา เพราะจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะได้รับการอบรมกล่อมเกลาให้ออกมามีจิตใจงาม มองโลกในแง่บวก ทั้งที่พ่อแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวประกอบด้วยพี่ๆเลี้ยงน้องมาดี

ไม่เหมือนคนบางคน เกิดมามีรูปเป็นทรัพย์ นับวิชา(มีความรู้) มีชาติตระกูลดี พ่อแม่อยู่ครบ แต่สันดานเลว มารยาสาไถย โกหกพกลมเป็นหัวใจ วาจาก้าวร้าวเชือดเฉือน จิตใจต่ำ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น น่าอนาถ...หมดบุญแล้วจะรู้สึก ตอนนี้ก็ผวาด้วยเสียงข่มขู่จากผู้คน เราไม่เชื่อหรอก อย่ามาเรียกร้องความสนใจเลย ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ตอนนี้ ปชช.โฟกัสไปที่ นรม.ปู ก็เลยออกมาเรียกร้องความสนใจด้วยการโกหกว่ามีคนข่มขู่จะทำร้าย หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาหัวตัวเองซะมั่ง ว่าหมดทั้งค่าและราคา ไม่มีใครเขาอยากไปยุ่งกับคุณหรอก เพราะมันเหมือนเอาไม้สั้นไปรับขี้!!!

57> แม่จ๋า!!! แม่ผู้ที่แสนดี หนูรักแม่ค่ะ...



คลิกที่ภาพ...ดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

แม่จ๋า!!! แม่ผู้ที่แสนดี หนูรักแม่ค่ะ...
By: 'ปวดตับเพราะตั้งชื่อ' เว็บ pantip 8ส.ค.2553


ตอนที่ 1 เหลือแค่หนูกับแม่

เริ่มจากตอนเด็กๆ พ่อค่าแรง 1 บาท ทำงานรับจ้างและตอนดึกๆก็ไปจับปลามาเป็นอาหารถ้าเหลือก็จะเอาไปขายตัวละ 25 สตางค์

แม่ทำงานสานตะกร้า สานเข่งขาย ชีวิตของพ่อแม่อยู่อย่างไม่ลำบากมากมาย

จนกระทั่งแม่คลอดเราออกมา เงินทองที่หามาเริ่มไม่พอใช้ พ่อต้องทำงานหนักขึ้นเงินทองที่หามาได้ก็หมดกับค่ากินในครอบครัว

ส่วนเงินขายสานตระกร้าก็หมดกับค่ารักษา เพราะเราเป็นคนป่วยง่ายมาก

แต่เหมือนไฟไหม้บ้านจู่ๆวันนึงพ่อที่เป็นกำลังหลัก เหมือนช้างเท้าหน้าที่คอยหาเงินมามาใช้จ่ายครอบครัวตายลงไป

พ่อตายเพราะจมน้ำตายตอนหาปลา คงเป็นเพราะพ่อทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ทำให้พ่อเป็นลมระหว่างจับปลา

พอรุ่งเช้าแม่รู้ แม่ร้องให้ การจากไปของพ่อทำให้แม่ทำใจอยู่นาน ระหว่างที่แม่ทำใจแม่ก็ป่วย

แม่เห็นเราลำบากจึงทำให้แม่พยายามที่จะลุกขึ้นสู้ต่อ แม่พูดอยู่เสมอๆว่าแม่ต้องอยู่ให้ได้

ตอนนั้นจำได้ถามแม่ว่าพ่อไปไหนหรอแม่

แม่บอกว่าพ่อไปทำงานไกลมากๆ ตอนนี้เหลือเีราอยู่กันแค่หนูกับแม่


ตอนที่ 2 หนูโกรธแม่

พอพ่อตายภาระทุกอย่างก็ตกอยู่กับแม่ ตอนกลางวันแม่จะไปหาขยะมาขาย ตอนกลางคืนก็จะสานตะกร้าสานเข่งขาย

แม่มักจะทำข้าวต้มกับไข่ ถ้าวันไหนมีเงินหน่อยก็จะมีหมู มีไก่บ้าง

เพื่อนๆมักจะล้อเราว่าเป็นลูกคนเก็บขยะ แต่ไม่เคยถือ เพราะเรารักแม่มากๆ

แต่มีอยู่วันนึง วันนั้นอยากกินหมู แต่แม่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อให้ ทำให้ได้แต่ไข่ทอด

เลยงอนแม่ไม่ยอมกินข้าว แต่แม่ก็ไม่แตะไข่ทอดเลย

เหมือนแม่รู้ว่าเราจะหิวตอนดึกก็เก็บข้าวกับไข่ทอดไว้ให้

วันนั้นกินจนหมดจานโดยที่แม่มองเรายิ้มไปมองไปเหมือนทุกวัน

แต่ตอนดึกปวดท้อง ก็ลุกมาเข้าห้องน้ำเห็นแม่แอบกินหมูแดงกับข้าวเหลือๆ ในใจก็นึกโกรธแม่ว่าทำไมต้องแอบมากินไม่แบ่งหมูให้กินเรากินบ้าง

โกรธแม่ไม่คุยกับแม่หลายวันเลยละ

แต่ตอนหลังก็รู้ว่าเป็นกับข้าวเหลือๆที่แม่เก็บมาจากขยะ ที่บ้านอื่นที่อยู่ในถุงก๊อบแก๊บ

แม่จะทำกับข้าวใหม่ๆให้เรากินอยู่เสมอ แต่แม่กลับกินกับข้าวที่เก็บมาจากถังขยะ

เรารู้ความจริงก็ได้แต่นั่งร้องไห้ แต่ไม่กล้าขอโทษที่โกรธแม่


ตอนที่ 3 หนูขอช่วยนะคะ

เมื่อตอนเล็กๆ แม่มักสอนเสมอๆ ให้เราตั้งใจเรียนหนังสือจะได้โตมาเป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ แต่ด้วยความเป็นเด็กเลยไม่เข้าใจว่าจะเรียนไปทำไม เมื่อกลับมาบ้านจึงขี้เกียจทำการบ้านหาเรื่องอู้จึงขอแม่ชวนสานเข่งสาน ตะกร้า

แม่ยิ้มอย่างมีความสุข เพราะเห็นว่าเราอยากช่วยเหลืองาน แต่แม่บอกให้ทำการบ้านเถอะตั้งใจเรียน เราก็ดื้ออยากช่วยแม่

แม่จับมือเราสอนสานตะกร้า มือของแม่ทั้งแข็งทั้งสาก มีแผลมากมายเป็นแผลที่เกิดจากวัสดุที่ใช้ทำตะกร้าบาด แข็งเพราะต้องทำซ้ำๆจนมือพอง เราแค่ได้ลองทำได้ไม่กี่นาทีมือเป็นตุ่มใสๆแล้ว

กว่าแม่จะได้เงินมาให้เราซื้อข้าวแต่ละมื้่อแม่ต้องทนเจ็บขนาดไหนกันนะ จึงคิดได้ว่าต้องตั้งใจเรียน โตไปจะได้ทำให้แม่ไม่ต้องลำบากแบบนี้อีก


ตอนที่ 4 จักรยานคันแรก

เมื่อตะกร้าของแม่เริ่มมีคนรู้จักก็มีคนขอสั่งซื้อไปขายเป็นจำนวนมากๆ ก็เลยไม่ต้องไปเก็บขยะขายแล้ว แต่แม่ก็เหนื่อยมากกว่าเดิมที่จะต้องสานตะกร้าจำนวนมากๆ เมื่อเลิกเรียนและทำการบ้านเสร็จจึงมาช่วยแม่สาน ถึงแม้มือจะเจ็บแต่เมื่อเทียบกับแม่แล้วมันไม่ได้เสี้ยวเดียวของที่แม่ทำมา ทั้งชีวิตเลย

ด้วยความเป็นเด็ก เมื่อเห็นเพื่อนๆมีจักรยานก็เลยอยากมีบ้าง แต่ไม่กล้าขอแม่เพราะรู้ว่าครอบครัวเรากว่าจะหาเงินมาได้แต่ละบาทต้องนั่งหลังคดหลังแข้งสานตะกร้าไม่รู้กี่ใบ แม่มองตาเราก็รู้แล้วว่าเราต้องการอะไร

แม่เอาเงินไปซื้อจักรยานมาเพื่ือจะใช้ไปส่งตะกร้าด้วย และให้เราปั่นเล่นด้วย ช่วงที่ได้จักรยานมาใหม่ๆ ตื่นเต้น ดีใจ กลับมาจากโรงเรียนและรีบทำการบ้าน เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะขอเอาจักรยานไปปั่น

เห็นคนอื่นหลับตาปล่อยมือปั่นจักรยานได้ ก็เลยทำบ้าง แต่พลาดทำจักรยานตกลงคูน้ำ พยายามจะเอาขึ้นมาแต่แบกขึ้นมาไม่ไหว ไม่กล้ากลับบ้านกลัวแม่ด่า

พอมืด แม่ก็ออกตามหาเรา เมื่อแม่เจอเราแม่วิ่งเข้ามากอด ถามเราว่าเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหน โดยที่ไม่สนใจจักยานเลย

เราบอกว่าจักรยานมันตกลงคูแล้ว

"ดีแล้วที่ลูกไม่เป็นอะไร ถ้าลูกเป็นอะไรไปแม่คงอยู่ไม่ได้แน่ เพราะลูกเป็นแก้วตาดวงใจของแม่"


ตอนที่ 5 รับปริญญา

เมื่อก่อนแถวบ้านนอกไม่มีมหาวิทยาลัย แม่จึงส่งมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อาจเป็นเพราะอยู่ที่นี่ได้แต่เรียนหนังสือ เที่ยวตามเพื่อนจนลืมความลำบากของที่บ้าน

พอถึงวันรับปริญญา แม่เดินทางมาเพื่อมาดูเรารับปริญญา แม่เรายิ้มทั้งวัน เราก็สนใจเพื่อนที่ี่จบมาด้วยกัน เอาเงินซื้อของให้เพื่อน และใช้จ่ายสิ้นเปลืองมากมายวันนั้น แต่แม่ไม่ห้ามเราเลย

จนกระทั่งเราเสร็จพิธีรับปริญญาบัตรก็ประมา๊ณ 3-4 ทุ่มได้ เรามาหาแม่เห็นแม่เรากำลังกินข้าวที่แม่ห่อมา

"ทำไมแม่ไม่ซื้อข้าวแถวนี้กิน" เป็นคำถามแรกที่เราถามแม่และจำได้จนทุกวันนี้

"แม่เอาเงินมาหาลูกหมดแล้ว"

เราเอาเงินซื้อของให้เพื่อน เอาเงินไปใช้จ่ายให้ตัวเองมีความสุขทั้งที่แม่เป็นคนหามาจนลืมถามแม่ว่ามีเงินไหม

วันนั้นเรารู้สึกผิดและได้แต่ร้องไห้...

"อย่าร้องไห้นะลูกแม่ วันนี้ต้องเป็นวันที่หนูมีความสุขที่สุดในชีวิตสิ"


ตอนที่ 6 ลูกคนแรก

พอเราเรียนจบแม่ก็หมดภาระ และวุฒิป.ตรี สมัยนั้นถือว่าสูงมาก จึงได้งานไม่ลำบาก เราทำงานก็เจอคนที่ดีๆ และแต่งงานมาได้สัก 3 ปี แม่บ่นว่าอยากเห็นหลาน แต่เราคิดว่ายังไม่พร้อม ไหนจะผ่อนบ้านให้แม่ ผ่อนบ้านตัวเอง เราไม่อยากเป็นเหมือนแม่ที่จะต้องให้ลูกลำบาก อยากจะให้อะไรพร้อมกว่านี้ก่อน

เราบอกแม่ว่ายังไม่พร้อม รออะไรให้มันพร้อมกว่านี้ก่อน แม่บอกว่าจะรอให้แม่ตายก่อนรึไงค่อยจะมีหลาน เราไม่ทันฉุกคิดว่า สิ่งที่แม่พูดและสิ่งที่แม่ทำมักจะมีความหมายเสมอ เราได้แต่คิดว่าคนแก่คงอยากอุ้มหลานไวๆ

จนเราทนแม่ขยั้นขะยอไม่ไหว ก็เลยโอเคๆมีลูกก็ได้ ตอนที่เราท้องแม่เดินทางมาหาบ่อยมาก เราอยากกินอะไรแม่ก็จะหามาให้กิน จนเราทำงานบ้านไม่ไหว แฟนจึงชวนแม่เรามาอยู่ด้วย

แม่จะตื่นแต่ 04.00 น. ทำกับข้าวให้แฟนเรากินก่อนไปทำงาน และเตรียมกับข้าวให้เรากิน จนเราคลอดลูก และลูกของเราโต แฟนเราชวนแม่เราย้ายมาอยู่บ้านนี้เลย เพราะแฟนบอกว่าแม่ของเราก็เหมือนเป็นแม่ของเขาอีกคนหนึ่ง

แม่ไม่ยอมแม่บอกอยู่บ้านแม่สบายใจกว่า


ตอนที่ 7 แม่เป็นมะเร็ง

พอลูกเราโตได้ 5-6 ขวบ แม่เริ่มมาหาเราน้อยลง จนเราต้องลงไปเยี่ยมแม่เองเพราะเป็นห่วงกลัวแม่จะเป็นอะไรไป เราเห็นสีหน้าแม่ไม่ค่อยดี เราถามแม่แม่ก็ฝืนใจแข็งตอบว่าไม่เป็นอะไร

แถวบ้านนอกคนแถวบ้านมักจะรู้ใครเจ็บไข้ได้ป่วย ใครไปหาหมอ เราจึงไปถามคนข้างบ้าน เขาบอกว่าแม่บ่นเจ็บท้องเจ็บหน้าอกมานานแล้ว เราเลยขอให้แม่ไปหาหมอ แต่แม่เราดื้อไม่ยอมไป เราเลยบอกงั้นเราจะไม่มาหาแม่แล้ว แม่ถึงยอมไป

เราพาไปหาหมอ แม่บอกอาการว่าปวดแสบปวดร้อน แถวท้องและหน้าอก หมอก็เลยบอกว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน ให้กลับบ้านแล้วเอายามาให้ทานชุดนึง แต่พอกินหมดชุดอาการแม่ก็ไม่ดีขึ้น

พอไปหาหมอใหม่อีกรอบ หมอบอกแม่ว่าแม่กินข้าวไม่ตรงเวลาอาการเลยไม่ได้ดีขึ้น จึงให้ยาเพิ่มมากอีกชุดและให้กลับบ้านใหม่ แต่กินหมดชุดที่สองก็ยังไม่หาย หมอเลยทำการตรวจโดยให้แม่กลืนแป้ง และสอดท่อเข้าไปส่องในกระเพาะ พบว่ากระเพาะเป็นปรกติ แค่มันแดงๆ ก็สรุปว่าเป็นกรดไหลย้อนเหมือนเดิม

แต่รักษายัังไงก็ไม่หาย หมอจึงคิดว่าไม่น่าจะใช่โรคกระเพาะ หมอจึงแนะนำให้ไปตรวจตับแต่ถ้าตรวจที่โรงพยาบาลค่าใช้จ่ายจะเยอะมาก หมอจึงแนะนำให้ไปที่ศูนย์มะเร็ง

แม่ดื้อจะทำยังไงก็ไม่ยอมไป เพราะแม่กลัวรู้ว่าแม่เป็นโรคอะไรแล้วเราจะเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำงาน จนกระทั่งแม่จุกและแน่นท้องหนักขึ้นจนกิินอะไรไม่ค่อยได้ จนแม่ผอมลงมาก

เราจึงบอกแม่ "หนูมีแม่แค่คนเดียวถ้าแม่หนูเป็นอะไรไป หนูจะอยู่ยังไง" ตอนนั้นเราร้องห่มร้องไห้เพราะเป็นห่วงแม่ ไม่รู้ร้องไห้นานเท่าไหร่ จนแม่ยอมไป

พอไปตรวจที่ศูนย์มะเร็ง ก็ตรวจโดยใช้กล้องส่องเหมือนเดิม และก็สรุปว่าเป็นกรดไหลย้อน ช่วงนั้นเราลงมาหาแม่ทุกๆสิ้นเดือน เราเห็นอาการแม่แย่ลง เพราะกินข้าวน้อยลงทุกครั้ง บางทีเราสังเกตเห็นแม่นอนเอามือกดท้อง

เราจึงลองพาแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล พอหมอตรวจแล้วไม่พบอะไร หมอจึงขอทำ CT SCAN แต่ตับ ไต ไส้พุง ทุกอย่างเป็นปกติ แต่มีน้ำและพังผืดในกระเพาะ

เราจึงบอกแม่ไปโรงบาลเอกชนกัน แม่บอกว่าโรงบาลเอกชนค่ารักษามันแพง แต่เราไม่สนใจแล้วว่าค่ารักษาจะเท่าไหร่ และแฟนเราก็เป็นคนบอกให้เราพาไปโรงบาลเอกชนด้วย จึงไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แม่เรามือกุมท้องตลอดเวลา หมอบอกเราว่าแม่อาจเป็นมะเร็ง จึงขอเอาเนื้อเยื่อไปตรวจ

หมอนัดมาทำ CT ทุก 15 วัน มาหาหมอได้และ 1 เดือนให้หลังหมอฟันธงว่าแม่เป็นมะเร็ง เราถามว่าขั้นไหน หมอบอกว่าเป็นมากมันลามไปหมดแล้วทั้งตับไต ไส้พุง ม้าม กระเพาะ แต่มีน้ำใน 3/4 และมีพังผืดในกระเพาะ อาจอยู่ได้ไม่ถึง 4 เดือน


ตอนที่ 8 หนูรักแม่ค่ะ(จบ)

หลังจากพบมะเร็งแม่เราก็พยายามรักษาและอยู่มาได้ 8-9 เดือน และแม่เริ่มเดินไม่ไหวจนแม่ต้องนั่งรถเข็นไปโรงพยาบาล ระยะหลังๆแม่ลุกไม่ไหวจนต้องนอนโรงพยาบาล เราเลิกงานก็จะมาหาแม่ก่อน จนแม่ไล่กลับไปให้ดูลูกๆ

ตอนนี้แม่เรากินอะไรไม่ได้เลย กินอะไรก็อ๊วกตลอด อาหารที่เขาบอกว่าคนเป็นมะเร็งกินได้เราก็เอามาให้แม่กิน แต่ก่อนกินเราถามหมอก่อน แม่เริ่มไม่ฉี่ไม่อึ เพราะกินอะไรไม่ได้แล้ว ผอมลงมากเหลือน้ำหนักไม่ถึง 20 กิโล ไตแม่เริ่มไม่ทำงาน หมอบอกว่าต้องฟอกไต จะให้เจาะคอหรือขาหนีบดี แม่บอกเจาะก็เจาะ เจาะที่ไหนก็ได้ หมอบอกเจาะที่ขาหนีบละกัน

แม่อ๊วกตลอดเวลา แม่อ๊วกครั้งสุดท้ายเหม็นมาก จนลูกเราเขาอยู่ในห้องด้วยไม่ไหวต้องออกไปนอกห้อง

วันสุดท้ายที่เจอแม่เราไม่รู้นึกยังไงหยุดงาน เรานั่งคุยกับแม่เรื่องตอนเราเล็กๆ จนกระทั่งก่อนท่านจะเสียหมอบอกให้พาญาติๆมาให้หมดไม่น่าจะอยู่เกินเช้า วันนั้นเราคุยกันเรื่องตอนเรายังเล็กๆ เราบอกรักแม่ตลอดเวลา แม่เรายังพูดเรื่องตลก บอกว่าใครจะทำกับข้าวให้แกกินก่อนไปทำงาน วันที่เราไปห้างใครจะคอยอุ้มดูลูกให้แก วันที่เรากลับดึกใครจะคอยกล่อมลูกแก หลังวันแม่แกจะเอาพวงมาลัยไปไหว้ใคร วันครบรอบวันตายของพ่อแก ใครจะเตรียมของให้แกทำบุญ วันพระใครจะให้ที่ให้แก

วันนั้นเราบอกรักแม่ตลอดเวลาที่แม่พูดอะไรเสร็จ เราไม่อยากให้แม่เป็นอะไรไป

หมอบอกว่าถ้าคนไข้ปวด ให้พยาบาลฉีดมอร์ฟีน ตอนนั้นประมาณตี 2 แม่ตื่นขึ้นมา เราถามแม่ปวดหรอ แม่บอกไม่ปวด แม่บอกแม่อยากนั่ง อยากพลิกซ้ายพลิกขวา เราคุยและช่วยแม่ได้พักนึงแม่ก็หลับตาลง และหัวใจหยุดเต้น เรากุมมือแม่ไว้แน่น...

แม่บอกแฟนเราว่าดูแลลูกและหลานฉันให้ดีๆนะ

แม่บอกขอบคุณพ่อแม่ของแฟนเราที่ดูแลเราดี และไม่รังเกียจที่พวกเราจน

แม่เรากอดเรา แฟนเรา ลูก พระและดอกไม้

พวกเราร้องไห้ตลอดเวลา จนกระทั่งแม่อ๊วกเป็นสีดำ-เทา 3 ครั้ง แต่แม่เราไม่เคยร้องไห้เลย

แม่เราบอกรักเราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากไปอย่างสงบ

ต่อไปนี้เราจะกราบใคร ต่อไปนี้เราจะบอกรักใคร เราน่าจะบอกท่านรักท่าน กราบท่านตั้งนานแล้ว ไม่ใช่วันสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากไปอย่างนี้

...แด่แม่ผู้ที่แสนดี หนูรักแม่ค่ะ...


จงกตัญญูต่อท่านเมื่อท่านมีชีวิตอยู่...ถ้าคุณสามารถหันกลับมาดูแลพ่อแม่ทัน

ทำอะไรให้ท่านในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่...จะเป็นผลบุญกุศลอันสูงสุดครับ


'อุบลวรรณ พงษ์สวัสดิ์' คุณแม่ผู้ให้ชีวิต 'Thanawut' ภาพนี้ท่านอายุ 43 (2518) ถ้ายังอยู่ปีนี้ 79 ส่วน'Thanawut' 27พ.ค.54 เต็ม 64 วันนี้ ขอรำลึกถึง'แม่อุบล'ของลูกๆ...เริ่มต้นท่านเป็นครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนเอกชน เป็น'ครูอุบล'ของลูกศิษย์ลูกหามากมาย ลาออกไปเป็น guide บ.ทอมมี่รับทัวร์ทหารสงครามเวียดนามที่มาพักร้อนในเมืองไทย ตอนนั้นถ้าได้ดูทีวีถ่ายทอดสดมวยจากเวทีราชดำเนินจะเห็นภาพ'แม่อุบล'ตัวเตี้ยๆอ้วนจ้ำหม้ำยืนชี้มือชี้ไม้ปากพูดอธิบายไม่หยุดให้ลูกทัวร์ฝรั่งฟัง และสุดท้ายของชีวิตท่านเป็น operator โรงแรมใหญ่แถวๆราชประสงค์ เป็นเพื่อนเป็น'พี่อุบล'ของน้องๆในที่ทำงาน ท่านเสียชีวิตด้วยความดันโลหิตสูงที่ รพ.รามาธิบดี