RedRatkrabang Bangkok Thailand ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน Welcome to...


รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง – เพลง ชีวามาลา – คุณจั่นทิพย์ สุถินบุตร วงดนตรีสุนทราภรณ์ – ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมจ้า...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

74> สนทนากับทักษิณ "ผู้ต้องสงสัย" แห่งประเทศไทย Conversations with Thaksin, Thailand's prime suspect

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


โดย: ทอม เพลท
พากย์ไทยโดย: ไทยอีนิวส์

*รัฐประหารที่เขย่าขวัญ: "สถานการณ์ไม่ค่อยดี"

ดูไบ – "มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา" รัฐมนตรีระดับสูงคนหนึ่งบอกกับท่าน "เรามีเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือ" รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งกล่าว "เวลาเราเหลือไม่กี่วัน"

ก่อนที่วันที่ ๑๗ ก.ย. ๒๕๔๙ จะมาถึง ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แม้แต่ทักษิณขณะที่รอที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในนามของประเทศต่อที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ ก็ยังกระสับกระส่าย "ผมคิดว่าคุณถูก" เขากล่าวกับผู้ร่วมงาน "ผมควรจะกลับไป สถานการณ์ไม่ดี"

แต่ทุกอย่างได้สายไปเสียแล้ว

ที่กรุงเทพฯ ในตอนเช้าตรู่ของวันอังคารที่ ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ อากาศร้อนอบอ้าว ผู้คนรู้แล้วว่ามีอะไรไม่ปกติ

เวลาประมาณ ๒ ทุ่มของคืนนั้น การรัฐประหารกำลังดำเนินไปอย่างเต็มพลัง

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการรัฐประหารบ่อยครั้ง แต่การเข็นรถถังออกมายังท้องถนนครั้งนี้ ห่างจากครั้งก่อนหลายปี เวลา ๔ ทุ่ม กองกำลังทหารได้โอบล้อมทำเนียบรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รุ่งอรุณ กองกำลังทหารได้ปิดล็อคจุดสำคัญ ตั้งป้อมตรวจค้นรถที่เดินทางตามถนนราชดำเนิน

เวลา ๙.๑๖ นาฬิกาของวันถัดไป คณะรัฐประหารออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ การรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ในแถลงการณ์กล่าวว่าทักษิณ "ได้สร้างความขัดแย้งแบ่งฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน, การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง, หน่วยงานอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหา ถ้าปล่อยให้รัฐบาลทักษิณปกครองบ้านเมืองต่อไป จะทำให้ประเทศเสียหาย และพวกเขายังมีพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระ มหากษัตริย์ ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขจึงทำการยึดอำนาจ"

และนั่นคือวิธีที่ทำให้วาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสิ้นสุด ลง โดยการใช้รถถัง ในความเป็นจริงแล้วการรัฐประหารครั้งนี้ไม่มีความรุนแรงที่ร้ายแรง คนไทยจำนวนมากอยู่ในบ้าน และรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะสถานีโทรทัศน์หยุดการถ่ายทอดโปรแกรมตามปกติ แต่เปิดเพลงรักชาติ

กระสุนไม่ได้ถูกยิงแม้แต่นัดเดียว ไม่มีใครตาย มันเป็นการรัฐประหารที่เงียบเชียบมาก

ตอนจบแล้วก็ยังเงียบ... ยกเว้นอาชีพทางการเมืองของนายกทักษิณที่ถูกทำให้จบลงแต่ยังมีเสียงคึกโครม ดังเหมือนเสียงรถถังที่วิ่งบดตามท้องถนน

ในบ่ายวันนั้น ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ทักษิณจบแน่

อย่างน้อย ผู้นำรัฐประหารคิดเช่นนั้น

*ความขัดแย้งของทักษิณ: "ครอบครัวของผมมีความปรารถนาดี"

ทักษิณพูดว่า "ตอนนั้นผมโกรธมาก...เต็มไปด้วยความโกรธ และการที่ผมเป็นคนโกรธง่าย มันโชว์ให้ทุกคนเห็นว่า ผมเป็นคนโกรธง่ายเกินไป" เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

"นี่คือคุณลักษณะที่ไม่ดีของผม ส่วนดีของผมคือคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าเมื่อใดผมไม่สามารถรับเพรสเชอร์ได้ ผมจะโกรธ"

นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เขารู้สึกเสียใจกับการที่มีอารมณ์เช่นนี้

ฉันถาม: "ตอนนี้เขาบอกว่าศาลไทยได้ฟ้องร้องคุณ คุณทักษิณ ขณะที่คุณไม่ได้อยู่ในประเทศ กรณีบทบาทของคุณที่ยั่วเย้าให้เกิดการประท้วง คุณเคยถูกฟ้องร้องจากศาลไทยบ้างหรือเปล่า?"

"ไม่เคย ผมไม่เคยถูกฟ้องร้องเรื่องนี้ ผมถูกฟ้องร้องเรื่องคดีที่ดิน"

"คดีที่ดินของภรรยาคุณเมื่อปี ๒๕๔๖?"

"ครับ ภรรยาผมชนะการประมูลซื้อที่ดินสาธารณะที่มาจากสมัยวิกฤตการณ์ทางการเงิน"

"โอเค"

"ซึ่งเปิดให้ทุกคน ต่อมาพวกเขาบอกว่า โอ เธอเป็นภรรยาของนายกฯ เธอต้องโกง ตอนหลังศาลพิพากษาตัดสินให้คดีนี้เป็นโมฆะ คืนเงินให้ภรรยาผมแต่ยังไม่ยอมปล่อยผมจากคำพิพากษา"

"คุณถูกกล่าวหา และถูกพิพากษาขณะที่ไม่อยู่ในเมืองไทยด้วยข้อหาอะไร?"

(การที่สื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า ข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกับคดีคอรัปชั่นนั้น ไม่ถูกต้อง)

"พวกเขาบอกว่าผมทำผิดกฎหมายที่ว่าด้วยสมาชิกคณะรัฐมนตรีห้ามมีส่วนร่วมเป็น คู่สัญญากับรัฐ เจตนาของกฎหมายคือห้ามพวกเราไม่ให้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่แฟร์ในสัญญาหรือ สัมปทานใดๆที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ แต่ข้อกล่าวหานี้มาจากการประมูลซื้อที่ดินที่กองทุนพื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน ซื้อต่อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา ซึ่งที่ดินเหล่านี้ไม่ได้เป็นของรัฐบาล"

"และภรรยาของคุณซื้อในนามของเธอเอง?"

ในความเป็นจริง การซื้อขายนี้ ซื้ออย่างซื่อตรง เธอไม่ได้ซ่อนอะไร เธอเซ็นเช็ค ๒๔ ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปิดไม่ได้ เงินจำนวนมากเช่นนี้อาจทำให้คนอิจฉา

ทักษิณตอบต่อ "ไม่หรอก ถ้าเธอต้องการปกปิด เธอสามารถใช้ชื่อคนอื่นเป็นตัวแทน หรือใช้ชื่อบริษัท"

"แต่เธอไม่ได้ทำ เธออาจจะทำถ้าเธอต้องการปกปิด ดังนั้นถ้าผิดอย่างเลวร้ายที่สุดก็เป็นเรื่องทางเทคนิค"

เขาพยักหน้า

"ตอนนี้ มีคนเขียนว่าคุณถูกศาลตัดสินคดีคอรัปชั่นอื่นๆอีกขณะที่ลี้ภัยนอกประเทศ"

"ไม่มี พวกเขากล่าวหา เป็นข้อกล่าวหา"

"ที่ตัดสินแล้วมีคดีเดียว คดีที่ดิน"

"คดีเดียว คดีเดียวเท่านั้น"

มันเป็นการยากที่จะบอกว่าทักษิณเป็นผู้ร้ายทางการเมืองที่เลวร้ายของโลก เพียงแค่เป็นจำเลยคดีที่ดิน ในความเป็นจริง เขาไม่มีชื่อติดอยู่ในหมายจับใดๆ ขององค์กรตำรวจสากล

แน่นอน ยังมีข้อกล่าวหาอีกหลายข้อหา ซึ่งยากที่จะบอกว่ามาจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบเขาฝ่ายเดียว

"ยกตัวอย่างเรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์ ถ้าคุณรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความเสียหาย คุณจะทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมหรือเปล่าในวันนี้?"

การซื้อขายขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในปี ๒๕๔๙ เป็นเรื่องการขายหุ้นจำนวนมหาศาลของเขาในบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมของไทย กับสิงคโปร์เทเลคอม มันเป็นรายการขนาดใหญ่ ซึ่งคนไทยจำนวนมากมีความรู้สึกไม่พอใจ ดูเหมือนเป็นการขายความมั่นคงของการสื่อสารแห่งชาติให้กับต่างชาติ ชาติใดก็ได้ที่ยอมจ่ายค่าประมูลสูงสุด และการซื้อขายนี้ถูกนักวิจารณ์พบว่าเป็นการทำธุรกรรมแบบทักษิณ คือ ให้หลีกเลี่ยงภาษี

แม้ว่าการจัดการนี้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่มันสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีจากนายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวย

ทักษิณฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และตอบว่า "พวกเราทุกคนในครอบครัวผมมีความปรารถนาดี ลูกๆมาหาผมและบอกว่า ‘คุณพ่อกำลังถูกโจมตีเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ ถ้าเราขายหุ้นของบริษัท และคุณพ่อไม่มีบทบาทในการบริหารแล้ว คุณพ่อคงไม่ถูกโจมตีอีกต่อไป เพราะฉะนั้นการขายหุ้นนี้อาจจะเป็นผลดีกับเรา’ ดังนั้นพวกเราตกลงที่จะขาย แต่ด้วยเหตุที่ศัตรูของผมต้องการที่จะจัดการผม ความตั้งใจดีที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของผลประโยชน์ถูกนำมาโจมตี ถ้าผมรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความยุ่งยากมากมายเช่นนี้ ผมคงแนะนำเขา ‘นี่ เธอเก็บไว้เองเถอะ และนี่เธอเก็บส่วนนี้ให้ฉัน ฉันไม่ต้องการยุ่งกับมัน’ แต่เนื่องจากเรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมจะไม่เสียใจกับมันต่อไป มันจบแล้ว"

ถึงแม้ว่าคำอธิบายนี้จะดูจริงใจ แต่อาจจะมองได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมสำหรับบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน ที่จะให้ประเทศไทยขึ้นติดอยู่บนแผนที่โลกเพื่อให้เขากลายเป็นรัฐบุรุษของโลก คนหนึ่ง ยอดสุทธิของเรื่องชินคอร์ปสำหรับผู้ที่เริ่มฟังเรื่องนี้ คือบางครั้งมันทำให้ทักษิณเป็น "ผู้น่าสงสัย" (prime suspect) พอๆกับการเป็น prime minister (นายกรัฐมนตรี)

บางทีมันเป็นความจริงที่ว่าบ่อเกิดของการไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดจากการดำรงพฤติกรรมเช่นเดิมของเขา ซึ่งศัตรูของเขาใช้ป้ายสีว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างสม่ำเสมอ แม้ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี เขายังคงทำงานอย่างนักธุรกิจ สิ่งซึ่งนักวิจารณ์ คนไทยจำนวนมาก รวมทั้งผู้สังเกตการณ์ภายนอก เห็นว่าเขารับเอารูปแบบ "ซีอีโอ โมเดล" มาใช้มากเกินไป

และฉันสงสัยว่าว่าเขาจะตอบเช่นไรกับคำถาม "คุณคิดว่าวงการไหนโหดกว่ากันระหว่างธุรกิจกับการเมือง? หรือมันพอ ๆกัน? หรือไม่สามารถตอบได้?"

คำตอบเขา: "ในแวดวงธุรกิจมีกฎระเบียบการเล่นที่ชัดเจนที่ทุกคนเคารพยอมรับ แต่ในการเมืองโดยเฉพาะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยปลอม กฎระเบียบยังไม่ได้รับการเคารพยอมรับ และกรรมการผู้ตัดสินไม่เคยมีความยุติธรรม"

*คนรวย คนจน: "ผมรักที่จะแก้ปัญหาให้คน"

"ตามที่ผมเข้าใจความคิดของคุณ คุณเชื่อว่าปัญหาความยากจนสามารถทำให้ลดน้อยลงได้อย่างมาก หากไม่สามารถกำจัดมันให้หมด นี่เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ คุณเชื่ออย่างนั้นจริงหรือ?"

เขาพยักหน้า

"คุณรู้ไหมว่าคุณปู่ผมเคยพูดว่า ‘ความยากจนจะอยู่ตลอดไป’ แต่คุณเป็นคนมองเรื่องนี้ในแง่ดี เพราะเหตุใด?"

ทักษิณตอบว่า "ลองคิดถึงคนจนที่เกิดในชนบท ที่พ่อแม่เขาก็ยากจน มันไม่จำเป็นที่ลูกหลานเขาในรุ่นต่อไปที่จะต้องยากจนตามไปด้วย ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูด้วยสภาพสังคมที่ดีกว่าในสมัยของพ่อแม่ หรือไม่ก็พ่อแม่เขาสามารถเลี้ยงดูให้ดีกว่าสมัยปู่ย่าของเขา สภาพเขาก็จะดีขึ้น ผลของโภชนาการที่ดี การศึกษาที่ดี และโอกาสที่ดีมีผลมหาศาล

"แต่มันต้องใช้เงิน"

เขาพยักหน้า "ครับ ต้องใช้เงิน แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องได้เงินมาก คุณไม่จำเป็นต้องให้เงินครอบครัวละ ๑ ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้เขาร่ำรวย และเราไม่ต้องการให้เขาเป็นคนรวยอย่างง่ายๆเช่นนั้น เราต้องการให้เขาสามารถหายใจและเจริญได้ แต่ในขณะนี้ที่เมืองไทยเขากำลังจมน้ำตาย ถ้าเราสามารถไปถึงเขาพยุงหัวให้สูงให้เขาหายใจ เขาก็จะหาทางว่ายกลับถึงฝั่งเอง เมื่อเขามีแรงแล้ว เขาจะใช้แรงของตัวเอง เขาจะไม่ยอมจมน้ำอีก เพราะเขารู้แล้วว่าการจมน้ำหายใจไม่ออกเป็นอย่างไรทรมานแค่ไหน"

การพูดเรื่องนี้แบบไม่ต้องหายใจแสดงถึงความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ของทักษิณ

เขาขยับตัวแล้วกล่าวต่อ "ด้วยการช่วยพวกเขา มันไม่ใช่เหมือนกับว่าเราให้เขาทุกอย่างอย่างเปล่าๆ ตอนนี้เขาเหมือนผู้ป่วยพวกเขาไม่แข็งแรงแล้วเราจะให้เขาแบกน้ำหนักที่หนัก อึ้งทำไม รัฐบาลตัวโตกว่าสามารถที่จะรับน้ำหนักแทนเขาได้ระยะหนึ่ง เมื่อเขาแข็งแรงแล้วเราก็คืนน้ำหนักไป"

นี่คือประเด็นที่ทักษิณคิดเรื่องคนจน: พยายามช่วยเหลืออย่างเป็นขั้นตอนจะมีผลระยะยาว เช่นการให้เด็กที่ไม่มีปัญญาซื้อคอมพิวเตอร์แทปเบล็ต

ทักษิณบอกว่า "คุณต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคคนรากหญ้า คุณต้องช่วยให้ชนบทเจริญขึ้น ถ้าคุณจะยกภาคใดภาคหนึ่งให้สูงขึ้นที่สามารถทำให้อีกภาคหนึ่งสูงตาม ไม่ใช่เฉพาะบางส่วนของเศรษฐกิจ คุณต้องยกจากด้านล่างสุด ถ้าคุณยกจากข้างล่างสุด ข้างบนก็สูงตาม วิธีนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณละเลยเมือง ถ้าเศรษฐกิจของชนบทดีขึ้น ทุกอย่างแม้แต่การท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราเปรียบเทียบทั้งองค์กรของสังคมเหมือนกับร่างกาย ถ้ามีบางส่วนกำลังจะตาย ร่างกายทั้งหมดจะแข็งแรงได้อย่างไร? เราต้องเสริมกำลังความเข้มแข็งให้แต่ละภาค นั่นคือต้องพยายามช่วยเหลือคนจนจากชนบท"

ฉัน: "คุณเข้าใจคนยากคนจนได้อย่างไร?"

"ผมเติบโตมาจากชนบท ผมรู้ ผมพูดคุยกับพวกเขาเมื่อตอนเป็นเด็ก คุณพ่อผมจ้างเขามาทำสวน เขาทำงานขุดดิน ตอนกลางวันเขาทำกับข้าวทานกันเอง ทานเสร็จก็ทำงานต่อ ผมดูอาหารการกินของเขา พวกเขาไม่ได้ไปตลาด เขาจับกบที่อยู่ตามทุ่งมาทำกับข้าวกิน พวกเขาไม่มีอะไรเลย มีแต่ข้าวเปล่า พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?"

ถ้าเขาเสแสร้งความปรารถนาดีนี้ แสดงว่าเขาเสแสร้งได้ดีมาก

"ผมเข้าใจ ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อผมได้อำนาจมา ซึ่งไต่เต้ามาจากความสำเร็จทางธุรกิจมาก่อน ผมบอกว่า โอเค เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยพวกเขา"

"บางทีอาจเป็นเพราะผมยังมีความทรงจำที่ยังประทับใจของการอยู่ในชนบท และผมยังจำได้เมื่อตอนไปโรงเรียน ผมนั่งซ้อนท้ายข้างหลังรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อมองทุ่งนาข้าวตามรายทาง ผมยังสามารถจำมันได้ดี และด้วยเหตุนี้กระมังผมจึงสงสารคนชนบทที่แสนจนและด้อยโอกาส เราจะสามารถให้โอกาสเขาให้มากกว่านี้ได้อย่างไร เราจะให้ความหวังแก่เขามากกว่านี้ได้อย่างไร นี่คือความรู้สึกที่แรงกล้าที่ผมอยากจะทำ"

"นี่คือความรู้สึกที่จริงจังของคุณ?"

"ใช่ ความต้องการอย่างแรงกล้าของผมไม่ใช่การเป็นนายกรัฐมนตรี ความต้องการผมคือต้องการแก้ปัญหาให้ประชาชน การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นแค่เพียงยานพาหนะที่นำพาผมไปทำสิ่งที่ผมพยายามทำ"

บ่อเกิดคอรัปชั่น: "นั่นคือวิถีที่เขาทำกันในประเทศไทย"

ในวันนี้ ทักษิณยอมรับด้วยตัวเองแล้วว่า ไม่มากก็น้อยปัญหาที่เขาประสบในสมัยที่เขาปกครองประเทศนั้นมาจากตัวเขาเอง ธรรมชาติที่เขาไม่ค่อยอดทน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นบวกในแวดวงธุรกิจ ได้กลายเป็นลบเมื่อเขาพยายามที่จะสรรหาฉันทามติสำหรับแนวทางของนโยบายอันใหม่

ฉันเริ่มต้นสนทนาในรอบนี้ดังนี้ "ขณะนี้ผมรู้จักคุณไม่นาน แต่ผมสามารถดูออกว่าคุณเป็นคนที่แข็ง ผมอยากทราบว่ามีใครในทีมงานของคุณหรือไม่ที่กล้าเข้ามาพูดกับคุณตรงๆว่า ‘ท่านนายกฯ ถ้าเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้หรือสิ่งเหล่านั้น เราจะมีปัญหาร้ายแรงอย่างแน่นอน’ ผมคิดว่าคงไม่มีใครที่กล้าเสนอเช่นนั้นกับคุณ"

เขาถอนหายใจอย่างเบาๆ และพยักหน้า: "นี่คือจุดอ่อนของสังคมไทย คนไทยไม่กล้าพูดในสิ่งที่เป็นเชิงลบกับเจ้านาย สิ่งที่เป็นเชิงลบหรือความเห็นที่เป็นลบที่อาจทำให้เจ้านายไม่พอใจ พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยง"

"ใช่"

"แต่ผมมีคนคนหนึ่งที่คอยพูดในสิ่งที่จำเป็นจะต้องพูด แต่เธอไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา เธอคือภรรยาของผม"

ผมหัวเราะอย่างเข้าใจ ผมก็มี สิ่งหนึ่งที่ทักษิณอยากให้มีการแก้ไขคือเรื่องค่าตอบแทนเรื่องเงินเดือนของข้าราชการ

"คุณรู้ไหมว่าเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีเท่าไหร่? แค่ ๓ พันเหรียญสหรัฐ ไม่มีบำนาญ คุณรู้ไหมผมจ่ายค่า รปภ. เดือนละเท่าไหร่? เขาให้ รปภ.ผม ซึ่งเป็นข้าราชการ ผมเลยจ่ายเขาเพิ่ม ทั้งหมด ๑๕,๐๐๐ เหรียญต่อเดือน เฉพาะ รปภ."

"จากเงินส่วนตัวของคุณ?"

"และผมมีเงินเดือนแค่ ๓,๐๐๐ เหรียญต่อเดือนฐานะนายกรัฐมนตรี"

"คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้คือคนที่มีฐานะดีอยู่แล้วหรือเป็นคนที่มีรายได้ จากที่อื่น จะพูดอย่างไรดี จากที่ๆบอกหลักฐานไม่ได้ นั่นเป็นสูตรสำหรับรัฐบาลที่ไม่ดี"

"นี่คือวิถีที่เป็นในประเทศไทย"

"มันไม่ถูก ถ้าคุณไม่ให้เงินเดือนเขาอย่างเหมาะสม ไม่ใครก็ใครต้องจ่ายให้เขาให้พอ ผมว่ามันน่าหัวเราะ คุณอยู่ไมได้หรอกเงินเดือนแค่นี้ถ้าไม่รวยอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณไม่รวยอยู่แล้วไม่ใครก็ใครก็ต้องจ่ายให้เขาพออยู่ได้"

"เขาต้องทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และฐานะทางสังคม ถ้าเขาไม่มีรายได้พอพียง เขาก็จะหาจากที่อื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่ได้อย่างไร? เราต้องรับความจริงข้อนี้"

"มันก็จะเป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่น"

"ถูกต้อง คุณกำลังบังคับเขาให้คอรัปฯ"

"และนี่คือสิ่งที่จะต้องแก้ไข?"

"ถูกต้อง"

*สมานฉันท์เพื่อกลับบ้าน: "ร่างกายของผมอยู่ดูไบ จิตวิญญาณผมอยู่ที่เมืองไทย"

ทักษิณนั่งอยู่ด้านซ้ายของโซฟาในห้องนั่งเล่น โดยปรกติเขาจะนั่งพิงหลังแต่ตอนนี้เขยิบมาอยู่ที่ขอบข้างหน้าแล้ว

"ดังนั้น ผมคิดว่ามีสิ่งเดียวที่เราสามารถทำในเรื่องนี้คือขอการสมานฉันท์ พวกเขากลัวผม พวกเขาไม่ไว้ใจว่าว่าผมไม่ต้องการแก้แค้น"

ฉันถาม: "เมื่อไหร่ที่คุณกลับไป คุณจะให้สัญญาได้ไหมกับทหาร พธม. และคนอื่นๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเรื่อง นิรโทษกรรม? การไห้อภัยซึ่งกันและกัน?"

"ครับ ได้"

"ไม่มีการล่าแม่มด?"

"ไม่มีการล่าแม่มด ผมคิดว่าการให้อภัยเป็นกุญแจสำคัญ ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ผมต้องการให้อภัยและอยากให้คนทั้งประเทศให้อภัยซึ่งกันละกัน เพราะถ้าคุณไม่มีการให้อภัย การประนีประนอมไม่เกิด ประเทศก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป"

ฉันถามต่อ "แต่มีบางคนบอกว่าสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้นคือทักษิณบอกว่า ‘ผมจะไม่กลับประเทศไทยอีก’ แต่คุณไม่เคยพูดเช่นนั้นเพราะจริงๆแล้วคุณต้องการที่จะกลับไป"

"ผมต้องการกลับไปอย่างแน่นอน"

"เข้าใจ เพราะคุณคิดว่าการที่คุณกลับไปจะเป็นผลดีกับประเทศไทยกว่าการไม่กลับ?"

"ถ้าผมได้กลับไป กลุ่มคนที่ต่อต้านผมขณะนี้จะหยุด และถ้าผมกลับไปอย่างไม่มีการล้างแค้น ให้อภัยกับทุกคน คนที่ไม่ชอบผมก็จะรู้สึกดีขึ้น"

"ถ้าคุณกลับจำเป็นหรือไม่ที่ต้องกลับไปเล่นการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีอีก? คุณสามารถเป็นแค่พี่เลี้ยงได้หรือไม่เหมือนลี กวนยูของสิงคโปร์ที่เคยเป็นปีๆ"

"ผมไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร"

"คุณสามารถกลับไปเป็นแบบซอนเนีย คานธี ผู้มีอำนาจเบื้องหลังของของอินเดีย?"

*เขาถอนหายใจ มองออกนอกหน้าต่าง: "คนบางคนอาจจะไม่สบายใจถ้าผมกลับและมีอำนาจทางการเมืองจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่ผมสามารถเสนอว่าผมอยู่ในตำแหน่งไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องตัวเองกับการเมือง ผมต้องการพิสูจน์ว่าผมไม่รังเกียจแต่ผมต้องการที่จะพิสูจน์ว่าผมเป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน"

(นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีที่แล้วที่ยกยิ่งลักษณ์น้องสาวเขาให้ เป็นนายกรัฐมนตรี สื่อได้รายงานว่าทักษิณเป็นผู้อยู่หลังฉากชักใยทางการเมือง)

"แต่ทำไม"

"เพราะผมห่วงคนจน และเพราะผมรู้สึกเป็นหนี้พวกที่สนับสนุนผมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน และผมยังรู้สึกเสียใจต่อนักธุรกิจที่ต้องเดือดร้อนกับภาวะเศรษฐกิจไทยตกต่ำ ผมเป็นหนี้เขา เขาต่อสู้ให้ผม เขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมยังจะต้องมอบพลังของผมที่ยังเหลืออยู่ทำงานตอบแทนหนี้เขา"

เขาพูดต่อ: "ผมเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถถูกปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ออกไปนานๆ การปรองดองต้องเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าการปรองดองเกิด ซึ่งก็หมายความว่าผมกลับบ้านได้ เมื่อกลับไปแล้ว ผมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งอะไรก็ได้ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศ และประชาชน"

"คุณกำลังบอกว่าคุณจะมีความสุขมากที่ได้กลับไปเมืองไทยแม้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีตำแหน่งที่ต่ำกว่า กว่าการอยู่ที่ดูไบอีก ๑๐? ที่นี่รื่นรมย์นะ แต่จิตวิญญาณคุณเจ็บปวดอยู่ในความทุกข์ทรมานที่นี่"

"ถูกต้อง ถูกต้อง ร่างกายผมอยู่ที่ดูไป จิตวิญญาณผมอยู่เมืองไทย"

*ปฏิบัติการของน้องสาว: "ผมมั่นใจทุกอย่างจบด้วยดี"

วันนี้ทักษิณ ชินวัตร จะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าบุคคลที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนระบอบทักษิณให้ก้าวหน้าอาจจะไม่ใช่คนชื่อทักษิณ

บุคคลที่ดีเลิศและเหมาะสมอาจจะเป็นน้องสาวคนสุดท้องที่ชื่อยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ทักษิณพูดว่าคำว่า "หุ่น"

*ทักษิณกล่าวว่า: "เธอทำงานดีเกินคาด ซึ่งทุกคนรวมทั้งตัวผมเองและครอบครัวคิดไม่ถึง แม้แต่พรรคก็แปลกใจ"

ทุกวันนี้มองจากหลายๆด้านน้องสาวคนเล็กน่าสนใจกว่าพี่ชายคนโต ผู้เฝ้ามองเธออยู่ด้วยความชื่นชมและห่วงใย เขาบอกว่า เมื่อมองย้อนกลับไป เธอมีมนุษยสัมพันธ์ มีเสน่ห์ มีสัญชาตญาณทักษะการจัดการองค์กร ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้แปลงเป็นประโยชน์ต่อการเมือง

เธอมีประสบการณ์เป็นผู้บริหารบริษัทอย่างกว้างขวางในบริษัทในเครือทักษิณ ซึ่งอยู่ในอาณาจักรธุรกิจชิน ที่รู้จักกันดีคือเป็นประธานบริษัท AIS ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นบริษัทมือถือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เขารู้ว่ารากฐานที่โตมาจากชนบทไม่สามารถถูกชะล้างออกได้จากความสำเร็จของ เธอในทางธุรกิจ "เธอเข้าใจชนทุกชั้น" เขาว่า

"เธอคือแธทเช่อร์ที่นุ่มนวลและทันสมัย"

*ทักษิณเป็นกองเชียร์ที่ใหญ่ที่สุดของเธอ แน่นอน: "เธอไม่มีสัมภาระทางการเมืองและเธอเป็นสุภาพสตรีด้วย เธอจึงสามารถพูดคุยกับทุกคนง่ายกว่าผู้ชายที่มีประวัติการเมืองอันยาวเหยียด ผมไม่อยู่ในฐานะที่ดีกว่าเธอที่จะเสนอเรื่องการสมานฉันท์"

แล้วเรื่องการลอบสังหารผู้นำหละ? การเป็นสุภาพสตรีไม่ได้ช่วยป้องกันเรื่องนี้เลย ดูอย่างเบนนาเซีย บูโต ของปากีสถานที่ประสบจุดจบอันน่าเศร้าเช่นนั้น แต่ทักษิณคิดว่าวัฒนธรรมของสังคมไทย และเพศของเธอช่วยเป็นภูมิคุ้มกัน" เขาเพิ่มเติม "ยิ่งลักษณ์กล้าหาญมาก"

"ผมสามารถบอกคุณได้ว่าผมมองในแง่ดี ผมมั่นใจว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ผมหวังว่าอย่างงั้น เขาพยายามฆ่าผม ๔ ครั้ง ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยังมีภารกิจที่ยังทำไม่เสร็จ"

การที่ยิ่งลักษณ์ผงาดอยู่ในเวทีการเมืองระดับชาติอย่างน่าตื่นใจ มีรากฐานจากวัฒนธรรม(ทางการเมือง)ของครอบครัวเธอ เธอกำลังช่วยขัดภาพพจน์และมรดกครอบครัวของเธอ นี่เป็นสิ่งที่คนไทยหลายๆคนเคารพ พวกเขารู้ว่าเธอสามารถอยู่ข้างหลังฉากการเมืองได้โดยให้ผู้อื่นรับความร้อน แรงทางการเมืองแทน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่ายิ่งลักษณ์ จะลงเล่นเกมส์เองอย่างเต็มที่.

หมายเหตุไทยอีนิวส์: บทสนทนานี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “Conversations with Thaksin: From Exile to Deliverance”, ซึ่งเป็นซีรี่หนึ่งของ Tom Plate’s “Giants of Asia” series