RedRatkrabang Bangkok Thailand ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน Welcome to...


รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง – เพลง ชีวามาลา – คุณจั่นทิพย์ สุถินบุตร วงดนตรีสุนทราภรณ์ – ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมจ้า...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

74> สนทนากับทักษิณ "ผู้ต้องสงสัย" แห่งประเทศไทย Conversations with Thaksin, Thailand's prime suspect

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


โดย: ทอม เพลท
พากย์ไทยโดย: ไทยอีนิวส์

*รัฐประหารที่เขย่าขวัญ: "สถานการณ์ไม่ค่อยดี"

ดูไบ – "มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา" รัฐมนตรีระดับสูงคนหนึ่งบอกกับท่าน "เรามีเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือ" รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งกล่าว "เวลาเราเหลือไม่กี่วัน"

ก่อนที่วันที่ ๑๗ ก.ย. ๒๕๔๙ จะมาถึง ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แม้แต่ทักษิณขณะที่รอที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในนามของประเทศต่อที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ ก็ยังกระสับกระส่าย "ผมคิดว่าคุณถูก" เขากล่าวกับผู้ร่วมงาน "ผมควรจะกลับไป สถานการณ์ไม่ดี"

แต่ทุกอย่างได้สายไปเสียแล้ว

ที่กรุงเทพฯ ในตอนเช้าตรู่ของวันอังคารที่ ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ อากาศร้อนอบอ้าว ผู้คนรู้แล้วว่ามีอะไรไม่ปกติ

เวลาประมาณ ๒ ทุ่มของคืนนั้น การรัฐประหารกำลังดำเนินไปอย่างเต็มพลัง

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการรัฐประหารบ่อยครั้ง แต่การเข็นรถถังออกมายังท้องถนนครั้งนี้ ห่างจากครั้งก่อนหลายปี เวลา ๔ ทุ่ม กองกำลังทหารได้โอบล้อมทำเนียบรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รุ่งอรุณ กองกำลังทหารได้ปิดล็อคจุดสำคัญ ตั้งป้อมตรวจค้นรถที่เดินทางตามถนนราชดำเนิน

เวลา ๙.๑๖ นาฬิกาของวันถัดไป คณะรัฐประหารออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ การรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ในแถลงการณ์กล่าวว่าทักษิณ "ได้สร้างความขัดแย้งแบ่งฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน, การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง, หน่วยงานอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหา ถ้าปล่อยให้รัฐบาลทักษิณปกครองบ้านเมืองต่อไป จะทำให้ประเทศเสียหาย และพวกเขายังมีพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระ มหากษัตริย์ ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขจึงทำการยึดอำนาจ"

และนั่นคือวิธีที่ทำให้วาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสิ้นสุด ลง โดยการใช้รถถัง ในความเป็นจริงแล้วการรัฐประหารครั้งนี้ไม่มีความรุนแรงที่ร้ายแรง คนไทยจำนวนมากอยู่ในบ้าน และรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะสถานีโทรทัศน์หยุดการถ่ายทอดโปรแกรมตามปกติ แต่เปิดเพลงรักชาติ

กระสุนไม่ได้ถูกยิงแม้แต่นัดเดียว ไม่มีใครตาย มันเป็นการรัฐประหารที่เงียบเชียบมาก

ตอนจบแล้วก็ยังเงียบ... ยกเว้นอาชีพทางการเมืองของนายกทักษิณที่ถูกทำให้จบลงแต่ยังมีเสียงคึกโครม ดังเหมือนเสียงรถถังที่วิ่งบดตามท้องถนน

ในบ่ายวันนั้น ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ทักษิณจบแน่

อย่างน้อย ผู้นำรัฐประหารคิดเช่นนั้น

*ความขัดแย้งของทักษิณ: "ครอบครัวของผมมีความปรารถนาดี"

ทักษิณพูดว่า "ตอนนั้นผมโกรธมาก...เต็มไปด้วยความโกรธ และการที่ผมเป็นคนโกรธง่าย มันโชว์ให้ทุกคนเห็นว่า ผมเป็นคนโกรธง่ายเกินไป" เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

"นี่คือคุณลักษณะที่ไม่ดีของผม ส่วนดีของผมคือคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าเมื่อใดผมไม่สามารถรับเพรสเชอร์ได้ ผมจะโกรธ"

นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เขารู้สึกเสียใจกับการที่มีอารมณ์เช่นนี้

ฉันถาม: "ตอนนี้เขาบอกว่าศาลไทยได้ฟ้องร้องคุณ คุณทักษิณ ขณะที่คุณไม่ได้อยู่ในประเทศ กรณีบทบาทของคุณที่ยั่วเย้าให้เกิดการประท้วง คุณเคยถูกฟ้องร้องจากศาลไทยบ้างหรือเปล่า?"

"ไม่เคย ผมไม่เคยถูกฟ้องร้องเรื่องนี้ ผมถูกฟ้องร้องเรื่องคดีที่ดิน"

"คดีที่ดินของภรรยาคุณเมื่อปี ๒๕๔๖?"

"ครับ ภรรยาผมชนะการประมูลซื้อที่ดินสาธารณะที่มาจากสมัยวิกฤตการณ์ทางการเงิน"

"โอเค"

"ซึ่งเปิดให้ทุกคน ต่อมาพวกเขาบอกว่า โอ เธอเป็นภรรยาของนายกฯ เธอต้องโกง ตอนหลังศาลพิพากษาตัดสินให้คดีนี้เป็นโมฆะ คืนเงินให้ภรรยาผมแต่ยังไม่ยอมปล่อยผมจากคำพิพากษา"

"คุณถูกกล่าวหา และถูกพิพากษาขณะที่ไม่อยู่ในเมืองไทยด้วยข้อหาอะไร?"

(การที่สื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า ข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกับคดีคอรัปชั่นนั้น ไม่ถูกต้อง)

"พวกเขาบอกว่าผมทำผิดกฎหมายที่ว่าด้วยสมาชิกคณะรัฐมนตรีห้ามมีส่วนร่วมเป็น คู่สัญญากับรัฐ เจตนาของกฎหมายคือห้ามพวกเราไม่ให้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่แฟร์ในสัญญาหรือ สัมปทานใดๆที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ แต่ข้อกล่าวหานี้มาจากการประมูลซื้อที่ดินที่กองทุนพื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน ซื้อต่อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา ซึ่งที่ดินเหล่านี้ไม่ได้เป็นของรัฐบาล"

"และภรรยาของคุณซื้อในนามของเธอเอง?"

ในความเป็นจริง การซื้อขายนี้ ซื้ออย่างซื่อตรง เธอไม่ได้ซ่อนอะไร เธอเซ็นเช็ค ๒๔ ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปิดไม่ได้ เงินจำนวนมากเช่นนี้อาจทำให้คนอิจฉา

ทักษิณตอบต่อ "ไม่หรอก ถ้าเธอต้องการปกปิด เธอสามารถใช้ชื่อคนอื่นเป็นตัวแทน หรือใช้ชื่อบริษัท"

"แต่เธอไม่ได้ทำ เธออาจจะทำถ้าเธอต้องการปกปิด ดังนั้นถ้าผิดอย่างเลวร้ายที่สุดก็เป็นเรื่องทางเทคนิค"

เขาพยักหน้า

"ตอนนี้ มีคนเขียนว่าคุณถูกศาลตัดสินคดีคอรัปชั่นอื่นๆอีกขณะที่ลี้ภัยนอกประเทศ"

"ไม่มี พวกเขากล่าวหา เป็นข้อกล่าวหา"

"ที่ตัดสินแล้วมีคดีเดียว คดีที่ดิน"

"คดีเดียว คดีเดียวเท่านั้น"

มันเป็นการยากที่จะบอกว่าทักษิณเป็นผู้ร้ายทางการเมืองที่เลวร้ายของโลก เพียงแค่เป็นจำเลยคดีที่ดิน ในความเป็นจริง เขาไม่มีชื่อติดอยู่ในหมายจับใดๆ ขององค์กรตำรวจสากล

แน่นอน ยังมีข้อกล่าวหาอีกหลายข้อหา ซึ่งยากที่จะบอกว่ามาจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบเขาฝ่ายเดียว

"ยกตัวอย่างเรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์ ถ้าคุณรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความเสียหาย คุณจะทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมหรือเปล่าในวันนี้?"

การซื้อขายขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในปี ๒๕๔๙ เป็นเรื่องการขายหุ้นจำนวนมหาศาลของเขาในบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมของไทย กับสิงคโปร์เทเลคอม มันเป็นรายการขนาดใหญ่ ซึ่งคนไทยจำนวนมากมีความรู้สึกไม่พอใจ ดูเหมือนเป็นการขายความมั่นคงของการสื่อสารแห่งชาติให้กับต่างชาติ ชาติใดก็ได้ที่ยอมจ่ายค่าประมูลสูงสุด และการซื้อขายนี้ถูกนักวิจารณ์พบว่าเป็นการทำธุรกรรมแบบทักษิณ คือ ให้หลีกเลี่ยงภาษี

แม้ว่าการจัดการนี้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่มันสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีจากนายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวย

ทักษิณฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และตอบว่า "พวกเราทุกคนในครอบครัวผมมีความปรารถนาดี ลูกๆมาหาผมและบอกว่า ‘คุณพ่อกำลังถูกโจมตีเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ ถ้าเราขายหุ้นของบริษัท และคุณพ่อไม่มีบทบาทในการบริหารแล้ว คุณพ่อคงไม่ถูกโจมตีอีกต่อไป เพราะฉะนั้นการขายหุ้นนี้อาจจะเป็นผลดีกับเรา’ ดังนั้นพวกเราตกลงที่จะขาย แต่ด้วยเหตุที่ศัตรูของผมต้องการที่จะจัดการผม ความตั้งใจดีที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของผลประโยชน์ถูกนำมาโจมตี ถ้าผมรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความยุ่งยากมากมายเช่นนี้ ผมคงแนะนำเขา ‘นี่ เธอเก็บไว้เองเถอะ และนี่เธอเก็บส่วนนี้ให้ฉัน ฉันไม่ต้องการยุ่งกับมัน’ แต่เนื่องจากเรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมจะไม่เสียใจกับมันต่อไป มันจบแล้ว"

ถึงแม้ว่าคำอธิบายนี้จะดูจริงใจ แต่อาจจะมองได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมสำหรับบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน ที่จะให้ประเทศไทยขึ้นติดอยู่บนแผนที่โลกเพื่อให้เขากลายเป็นรัฐบุรุษของโลก คนหนึ่ง ยอดสุทธิของเรื่องชินคอร์ปสำหรับผู้ที่เริ่มฟังเรื่องนี้ คือบางครั้งมันทำให้ทักษิณเป็น "ผู้น่าสงสัย" (prime suspect) พอๆกับการเป็น prime minister (นายกรัฐมนตรี)

บางทีมันเป็นความจริงที่ว่าบ่อเกิดของการไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดจากการดำรงพฤติกรรมเช่นเดิมของเขา ซึ่งศัตรูของเขาใช้ป้ายสีว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างสม่ำเสมอ แม้ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี เขายังคงทำงานอย่างนักธุรกิจ สิ่งซึ่งนักวิจารณ์ คนไทยจำนวนมาก รวมทั้งผู้สังเกตการณ์ภายนอก เห็นว่าเขารับเอารูปแบบ "ซีอีโอ โมเดล" มาใช้มากเกินไป

และฉันสงสัยว่าว่าเขาจะตอบเช่นไรกับคำถาม "คุณคิดว่าวงการไหนโหดกว่ากันระหว่างธุรกิจกับการเมือง? หรือมันพอ ๆกัน? หรือไม่สามารถตอบได้?"

คำตอบเขา: "ในแวดวงธุรกิจมีกฎระเบียบการเล่นที่ชัดเจนที่ทุกคนเคารพยอมรับ แต่ในการเมืองโดยเฉพาะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยปลอม กฎระเบียบยังไม่ได้รับการเคารพยอมรับ และกรรมการผู้ตัดสินไม่เคยมีความยุติธรรม"

*คนรวย คนจน: "ผมรักที่จะแก้ปัญหาให้คน"

"ตามที่ผมเข้าใจความคิดของคุณ คุณเชื่อว่าปัญหาความยากจนสามารถทำให้ลดน้อยลงได้อย่างมาก หากไม่สามารถกำจัดมันให้หมด นี่เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ คุณเชื่ออย่างนั้นจริงหรือ?"

เขาพยักหน้า

"คุณรู้ไหมว่าคุณปู่ผมเคยพูดว่า ‘ความยากจนจะอยู่ตลอดไป’ แต่คุณเป็นคนมองเรื่องนี้ในแง่ดี เพราะเหตุใด?"

ทักษิณตอบว่า "ลองคิดถึงคนจนที่เกิดในชนบท ที่พ่อแม่เขาก็ยากจน มันไม่จำเป็นที่ลูกหลานเขาในรุ่นต่อไปที่จะต้องยากจนตามไปด้วย ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูด้วยสภาพสังคมที่ดีกว่าในสมัยของพ่อแม่ หรือไม่ก็พ่อแม่เขาสามารถเลี้ยงดูให้ดีกว่าสมัยปู่ย่าของเขา สภาพเขาก็จะดีขึ้น ผลของโภชนาการที่ดี การศึกษาที่ดี และโอกาสที่ดีมีผลมหาศาล

"แต่มันต้องใช้เงิน"

เขาพยักหน้า "ครับ ต้องใช้เงิน แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องได้เงินมาก คุณไม่จำเป็นต้องให้เงินครอบครัวละ ๑ ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้เขาร่ำรวย และเราไม่ต้องการให้เขาเป็นคนรวยอย่างง่ายๆเช่นนั้น เราต้องการให้เขาสามารถหายใจและเจริญได้ แต่ในขณะนี้ที่เมืองไทยเขากำลังจมน้ำตาย ถ้าเราสามารถไปถึงเขาพยุงหัวให้สูงให้เขาหายใจ เขาก็จะหาทางว่ายกลับถึงฝั่งเอง เมื่อเขามีแรงแล้ว เขาจะใช้แรงของตัวเอง เขาจะไม่ยอมจมน้ำอีก เพราะเขารู้แล้วว่าการจมน้ำหายใจไม่ออกเป็นอย่างไรทรมานแค่ไหน"

การพูดเรื่องนี้แบบไม่ต้องหายใจแสดงถึงความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ของทักษิณ

เขาขยับตัวแล้วกล่าวต่อ "ด้วยการช่วยพวกเขา มันไม่ใช่เหมือนกับว่าเราให้เขาทุกอย่างอย่างเปล่าๆ ตอนนี้เขาเหมือนผู้ป่วยพวกเขาไม่แข็งแรงแล้วเราจะให้เขาแบกน้ำหนักที่หนัก อึ้งทำไม รัฐบาลตัวโตกว่าสามารถที่จะรับน้ำหนักแทนเขาได้ระยะหนึ่ง เมื่อเขาแข็งแรงแล้วเราก็คืนน้ำหนักไป"

นี่คือประเด็นที่ทักษิณคิดเรื่องคนจน: พยายามช่วยเหลืออย่างเป็นขั้นตอนจะมีผลระยะยาว เช่นการให้เด็กที่ไม่มีปัญญาซื้อคอมพิวเตอร์แทปเบล็ต

ทักษิณบอกว่า "คุณต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคคนรากหญ้า คุณต้องช่วยให้ชนบทเจริญขึ้น ถ้าคุณจะยกภาคใดภาคหนึ่งให้สูงขึ้นที่สามารถทำให้อีกภาคหนึ่งสูงตาม ไม่ใช่เฉพาะบางส่วนของเศรษฐกิจ คุณต้องยกจากด้านล่างสุด ถ้าคุณยกจากข้างล่างสุด ข้างบนก็สูงตาม วิธีนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณละเลยเมือง ถ้าเศรษฐกิจของชนบทดีขึ้น ทุกอย่างแม้แต่การท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราเปรียบเทียบทั้งองค์กรของสังคมเหมือนกับร่างกาย ถ้ามีบางส่วนกำลังจะตาย ร่างกายทั้งหมดจะแข็งแรงได้อย่างไร? เราต้องเสริมกำลังความเข้มแข็งให้แต่ละภาค นั่นคือต้องพยายามช่วยเหลือคนจนจากชนบท"

ฉัน: "คุณเข้าใจคนยากคนจนได้อย่างไร?"

"ผมเติบโตมาจากชนบท ผมรู้ ผมพูดคุยกับพวกเขาเมื่อตอนเป็นเด็ก คุณพ่อผมจ้างเขามาทำสวน เขาทำงานขุดดิน ตอนกลางวันเขาทำกับข้าวทานกันเอง ทานเสร็จก็ทำงานต่อ ผมดูอาหารการกินของเขา พวกเขาไม่ได้ไปตลาด เขาจับกบที่อยู่ตามทุ่งมาทำกับข้าวกิน พวกเขาไม่มีอะไรเลย มีแต่ข้าวเปล่า พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?"

ถ้าเขาเสแสร้งความปรารถนาดีนี้ แสดงว่าเขาเสแสร้งได้ดีมาก

"ผมเข้าใจ ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อผมได้อำนาจมา ซึ่งไต่เต้ามาจากความสำเร็จทางธุรกิจมาก่อน ผมบอกว่า โอเค เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยพวกเขา"

"บางทีอาจเป็นเพราะผมยังมีความทรงจำที่ยังประทับใจของการอยู่ในชนบท และผมยังจำได้เมื่อตอนไปโรงเรียน ผมนั่งซ้อนท้ายข้างหลังรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อมองทุ่งนาข้าวตามรายทาง ผมยังสามารถจำมันได้ดี และด้วยเหตุนี้กระมังผมจึงสงสารคนชนบทที่แสนจนและด้อยโอกาส เราจะสามารถให้โอกาสเขาให้มากกว่านี้ได้อย่างไร เราจะให้ความหวังแก่เขามากกว่านี้ได้อย่างไร นี่คือความรู้สึกที่แรงกล้าที่ผมอยากจะทำ"

"นี่คือความรู้สึกที่จริงจังของคุณ?"

"ใช่ ความต้องการอย่างแรงกล้าของผมไม่ใช่การเป็นนายกรัฐมนตรี ความต้องการผมคือต้องการแก้ปัญหาให้ประชาชน การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นแค่เพียงยานพาหนะที่นำพาผมไปทำสิ่งที่ผมพยายามทำ"

บ่อเกิดคอรัปชั่น: "นั่นคือวิถีที่เขาทำกันในประเทศไทย"

ในวันนี้ ทักษิณยอมรับด้วยตัวเองแล้วว่า ไม่มากก็น้อยปัญหาที่เขาประสบในสมัยที่เขาปกครองประเทศนั้นมาจากตัวเขาเอง ธรรมชาติที่เขาไม่ค่อยอดทน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นบวกในแวดวงธุรกิจ ได้กลายเป็นลบเมื่อเขาพยายามที่จะสรรหาฉันทามติสำหรับแนวทางของนโยบายอันใหม่

ฉันเริ่มต้นสนทนาในรอบนี้ดังนี้ "ขณะนี้ผมรู้จักคุณไม่นาน แต่ผมสามารถดูออกว่าคุณเป็นคนที่แข็ง ผมอยากทราบว่ามีใครในทีมงานของคุณหรือไม่ที่กล้าเข้ามาพูดกับคุณตรงๆว่า ‘ท่านนายกฯ ถ้าเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้หรือสิ่งเหล่านั้น เราจะมีปัญหาร้ายแรงอย่างแน่นอน’ ผมคิดว่าคงไม่มีใครที่กล้าเสนอเช่นนั้นกับคุณ"

เขาถอนหายใจอย่างเบาๆ และพยักหน้า: "นี่คือจุดอ่อนของสังคมไทย คนไทยไม่กล้าพูดในสิ่งที่เป็นเชิงลบกับเจ้านาย สิ่งที่เป็นเชิงลบหรือความเห็นที่เป็นลบที่อาจทำให้เจ้านายไม่พอใจ พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยง"

"ใช่"

"แต่ผมมีคนคนหนึ่งที่คอยพูดในสิ่งที่จำเป็นจะต้องพูด แต่เธอไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา เธอคือภรรยาของผม"

ผมหัวเราะอย่างเข้าใจ ผมก็มี สิ่งหนึ่งที่ทักษิณอยากให้มีการแก้ไขคือเรื่องค่าตอบแทนเรื่องเงินเดือนของข้าราชการ

"คุณรู้ไหมว่าเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีเท่าไหร่? แค่ ๓ พันเหรียญสหรัฐ ไม่มีบำนาญ คุณรู้ไหมผมจ่ายค่า รปภ. เดือนละเท่าไหร่? เขาให้ รปภ.ผม ซึ่งเป็นข้าราชการ ผมเลยจ่ายเขาเพิ่ม ทั้งหมด ๑๕,๐๐๐ เหรียญต่อเดือน เฉพาะ รปภ."

"จากเงินส่วนตัวของคุณ?"

"และผมมีเงินเดือนแค่ ๓,๐๐๐ เหรียญต่อเดือนฐานะนายกรัฐมนตรี"

"คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้คือคนที่มีฐานะดีอยู่แล้วหรือเป็นคนที่มีรายได้ จากที่อื่น จะพูดอย่างไรดี จากที่ๆบอกหลักฐานไม่ได้ นั่นเป็นสูตรสำหรับรัฐบาลที่ไม่ดี"

"นี่คือวิถีที่เป็นในประเทศไทย"

"มันไม่ถูก ถ้าคุณไม่ให้เงินเดือนเขาอย่างเหมาะสม ไม่ใครก็ใครต้องจ่ายให้เขาให้พอ ผมว่ามันน่าหัวเราะ คุณอยู่ไมได้หรอกเงินเดือนแค่นี้ถ้าไม่รวยอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณไม่รวยอยู่แล้วไม่ใครก็ใครก็ต้องจ่ายให้เขาพออยู่ได้"

"เขาต้องทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และฐานะทางสังคม ถ้าเขาไม่มีรายได้พอพียง เขาก็จะหาจากที่อื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่ได้อย่างไร? เราต้องรับความจริงข้อนี้"

"มันก็จะเป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่น"

"ถูกต้อง คุณกำลังบังคับเขาให้คอรัปฯ"

"และนี่คือสิ่งที่จะต้องแก้ไข?"

"ถูกต้อง"

*สมานฉันท์เพื่อกลับบ้าน: "ร่างกายของผมอยู่ดูไบ จิตวิญญาณผมอยู่ที่เมืองไทย"

ทักษิณนั่งอยู่ด้านซ้ายของโซฟาในห้องนั่งเล่น โดยปรกติเขาจะนั่งพิงหลังแต่ตอนนี้เขยิบมาอยู่ที่ขอบข้างหน้าแล้ว

"ดังนั้น ผมคิดว่ามีสิ่งเดียวที่เราสามารถทำในเรื่องนี้คือขอการสมานฉันท์ พวกเขากลัวผม พวกเขาไม่ไว้ใจว่าว่าผมไม่ต้องการแก้แค้น"

ฉันถาม: "เมื่อไหร่ที่คุณกลับไป คุณจะให้สัญญาได้ไหมกับทหาร พธม. และคนอื่นๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเรื่อง นิรโทษกรรม? การไห้อภัยซึ่งกันและกัน?"

"ครับ ได้"

"ไม่มีการล่าแม่มด?"

"ไม่มีการล่าแม่มด ผมคิดว่าการให้อภัยเป็นกุญแจสำคัญ ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ผมต้องการให้อภัยและอยากให้คนทั้งประเทศให้อภัยซึ่งกันละกัน เพราะถ้าคุณไม่มีการให้อภัย การประนีประนอมไม่เกิด ประเทศก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป"

ฉันถามต่อ "แต่มีบางคนบอกว่าสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้นคือทักษิณบอกว่า ‘ผมจะไม่กลับประเทศไทยอีก’ แต่คุณไม่เคยพูดเช่นนั้นเพราะจริงๆแล้วคุณต้องการที่จะกลับไป"

"ผมต้องการกลับไปอย่างแน่นอน"

"เข้าใจ เพราะคุณคิดว่าการที่คุณกลับไปจะเป็นผลดีกับประเทศไทยกว่าการไม่กลับ?"

"ถ้าผมได้กลับไป กลุ่มคนที่ต่อต้านผมขณะนี้จะหยุด และถ้าผมกลับไปอย่างไม่มีการล้างแค้น ให้อภัยกับทุกคน คนที่ไม่ชอบผมก็จะรู้สึกดีขึ้น"

"ถ้าคุณกลับจำเป็นหรือไม่ที่ต้องกลับไปเล่นการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีอีก? คุณสามารถเป็นแค่พี่เลี้ยงได้หรือไม่เหมือนลี กวนยูของสิงคโปร์ที่เคยเป็นปีๆ"

"ผมไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร"

"คุณสามารถกลับไปเป็นแบบซอนเนีย คานธี ผู้มีอำนาจเบื้องหลังของของอินเดีย?"

*เขาถอนหายใจ มองออกนอกหน้าต่าง: "คนบางคนอาจจะไม่สบายใจถ้าผมกลับและมีอำนาจทางการเมืองจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่ผมสามารถเสนอว่าผมอยู่ในตำแหน่งไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องตัวเองกับการเมือง ผมต้องการพิสูจน์ว่าผมไม่รังเกียจแต่ผมต้องการที่จะพิสูจน์ว่าผมเป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน"

(นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีที่แล้วที่ยกยิ่งลักษณ์น้องสาวเขาให้ เป็นนายกรัฐมนตรี สื่อได้รายงานว่าทักษิณเป็นผู้อยู่หลังฉากชักใยทางการเมือง)

"แต่ทำไม"

"เพราะผมห่วงคนจน และเพราะผมรู้สึกเป็นหนี้พวกที่สนับสนุนผมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน และผมยังรู้สึกเสียใจต่อนักธุรกิจที่ต้องเดือดร้อนกับภาวะเศรษฐกิจไทยตกต่ำ ผมเป็นหนี้เขา เขาต่อสู้ให้ผม เขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมยังจะต้องมอบพลังของผมที่ยังเหลืออยู่ทำงานตอบแทนหนี้เขา"

เขาพูดต่อ: "ผมเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถถูกปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ออกไปนานๆ การปรองดองต้องเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าการปรองดองเกิด ซึ่งก็หมายความว่าผมกลับบ้านได้ เมื่อกลับไปแล้ว ผมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งอะไรก็ได้ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศ และประชาชน"

"คุณกำลังบอกว่าคุณจะมีความสุขมากที่ได้กลับไปเมืองไทยแม้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีตำแหน่งที่ต่ำกว่า กว่าการอยู่ที่ดูไบอีก ๑๐? ที่นี่รื่นรมย์นะ แต่จิตวิญญาณคุณเจ็บปวดอยู่ในความทุกข์ทรมานที่นี่"

"ถูกต้อง ถูกต้อง ร่างกายผมอยู่ที่ดูไป จิตวิญญาณผมอยู่เมืองไทย"

*ปฏิบัติการของน้องสาว: "ผมมั่นใจทุกอย่างจบด้วยดี"

วันนี้ทักษิณ ชินวัตร จะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าบุคคลที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนระบอบทักษิณให้ก้าวหน้าอาจจะไม่ใช่คนชื่อทักษิณ

บุคคลที่ดีเลิศและเหมาะสมอาจจะเป็นน้องสาวคนสุดท้องที่ชื่อยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ทักษิณพูดว่าคำว่า "หุ่น"

*ทักษิณกล่าวว่า: "เธอทำงานดีเกินคาด ซึ่งทุกคนรวมทั้งตัวผมเองและครอบครัวคิดไม่ถึง แม้แต่พรรคก็แปลกใจ"

ทุกวันนี้มองจากหลายๆด้านน้องสาวคนเล็กน่าสนใจกว่าพี่ชายคนโต ผู้เฝ้ามองเธออยู่ด้วยความชื่นชมและห่วงใย เขาบอกว่า เมื่อมองย้อนกลับไป เธอมีมนุษยสัมพันธ์ มีเสน่ห์ มีสัญชาตญาณทักษะการจัดการองค์กร ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้แปลงเป็นประโยชน์ต่อการเมือง

เธอมีประสบการณ์เป็นผู้บริหารบริษัทอย่างกว้างขวางในบริษัทในเครือทักษิณ ซึ่งอยู่ในอาณาจักรธุรกิจชิน ที่รู้จักกันดีคือเป็นประธานบริษัท AIS ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นบริษัทมือถือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เขารู้ว่ารากฐานที่โตมาจากชนบทไม่สามารถถูกชะล้างออกได้จากความสำเร็จของ เธอในทางธุรกิจ "เธอเข้าใจชนทุกชั้น" เขาว่า

"เธอคือแธทเช่อร์ที่นุ่มนวลและทันสมัย"

*ทักษิณเป็นกองเชียร์ที่ใหญ่ที่สุดของเธอ แน่นอน: "เธอไม่มีสัมภาระทางการเมืองและเธอเป็นสุภาพสตรีด้วย เธอจึงสามารถพูดคุยกับทุกคนง่ายกว่าผู้ชายที่มีประวัติการเมืองอันยาวเหยียด ผมไม่อยู่ในฐานะที่ดีกว่าเธอที่จะเสนอเรื่องการสมานฉันท์"

แล้วเรื่องการลอบสังหารผู้นำหละ? การเป็นสุภาพสตรีไม่ได้ช่วยป้องกันเรื่องนี้เลย ดูอย่างเบนนาเซีย บูโต ของปากีสถานที่ประสบจุดจบอันน่าเศร้าเช่นนั้น แต่ทักษิณคิดว่าวัฒนธรรมของสังคมไทย และเพศของเธอช่วยเป็นภูมิคุ้มกัน" เขาเพิ่มเติม "ยิ่งลักษณ์กล้าหาญมาก"

"ผมสามารถบอกคุณได้ว่าผมมองในแง่ดี ผมมั่นใจว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ผมหวังว่าอย่างงั้น เขาพยายามฆ่าผม ๔ ครั้ง ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยังมีภารกิจที่ยังทำไม่เสร็จ"

การที่ยิ่งลักษณ์ผงาดอยู่ในเวทีการเมืองระดับชาติอย่างน่าตื่นใจ มีรากฐานจากวัฒนธรรม(ทางการเมือง)ของครอบครัวเธอ เธอกำลังช่วยขัดภาพพจน์และมรดกครอบครัวของเธอ นี่เป็นสิ่งที่คนไทยหลายๆคนเคารพ พวกเขารู้ว่าเธอสามารถอยู่ข้างหลังฉากการเมืองได้โดยให้ผู้อื่นรับความร้อน แรงทางการเมืองแทน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่ายิ่งลักษณ์ จะลงเล่นเกมส์เองอย่างเต็มที่.

หมายเหตุไทยอีนิวส์: บทสนทนานี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “Conversations with Thaksin: From Exile to Deliverance”, ซึ่งเป็นซีรี่หนึ่งของ Tom Plate’s “Giants of Asia” series

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

73> เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ คลิปที่ทุกคนควรจะต้องดู ใครตกข่าว เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
By: ตระกองขวัญ เว็บpantip

หมายเหตุ จขกท. : กระทู้นี้ ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นโดยการอิงหลักคิดของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ คณะนิติราษฎร์ ไม่ได้คิดเองล้วนๆ คิดไปเขียนไป ไม่มีการลอกของใครมาตัดแปะแล้วแอบอ้างว่าตัวเองคิดเองเขียนเองด้วย

วันนี้ สังคมไทยกำลังมีการปะทะกันทางความคิดเรื่อง ม.112 และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เรื่องรัฐธรรมนูญไม่เท่าไร อาจเป็นแค่เงื่อนไขทางการเมืองในการโค่นล้มกัน

แต่เรื่อง ม.112 ถูกขยายความ ตีความไปแบบเลยเถิด ชนิดสร้างกระแสให้ประชาชนออกมาตีกัน เรียกร้องให้ทหารปฏิวัติไปโน่นเลย

รักสถาบันซะจริงๆ รักชนิดยุให้คนออกมาฆ่ากัน ปกป้องมากถึงขนาดยุให้ทหารปฏิวัติ รักและปกป้องจริงๆ

มันจึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า คณะนิติราษฎร์เสนอหลักคิดเกี่ยวกับการแก้ไข ม.112 นี้ เป็นการปกป้องหรือเป็นการล้มกันแน่ ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับนิติราษฎร์ปกป้องหรือจ้องล้มอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์กันแน่

ขอวัดดวงในกระทู้นี้แหละครับ ว่าหล่อจะโดน 112 ไหม

ง่ายๆครับ วันนี้ประเทศของเราปกครองด้วยระบอบอะไร คำตอบก็คือ ระบอบประชาธิปไตย แล้วมีใครเป็นประมุขของประเทศ คำตอบก็คือพระมหากษัตริย์ ประเทศของเราจึงมีระบอบการปกครองที่เรียกว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

โลกวันนี้ มันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เป็นโลกเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของบุคคลนั้น ได้รับการยอมรับและคุ้มครองไปทั่วโลก ใครจะคิด จะพูด จะเขียน จะวิพากษ์วิจารณ์ใคร อะไร ทำได้ทั้งนั้น หากการกระทำนั้นไม่ใช่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย

ตัดฉับ...

ม.112 ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหมวดความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อเป็นความมั่นคงแห่งชาติ คนไทยทุกคนจึงต้องมีหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติ นี่ไงครับ ม.112 มันจึงอยู่ผิดที่ และถูกใช้ผิดทาง

นาย ก. หมิ่นประมาทนาย ข. นาย ค. ไปแจ้งความ ตำรวจไม่รับแจ้ง เพราะนาย ค. ไม่เกี่ยว แต่หากนาย ข. เป็นบุคคลที่ถือว่า "เป็นความมั่นคงแห่งชาติ" แล้ว ตำรวจก็ต้องรับแจ้ง เพราะนาย ค. ทำหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติตามหน้าที่พลเมืองดี

พอนึกออกไหมครับ ว่ามันผิดที่ผิดทางตรงไหน อย่างไร

ตัดฉับ...

การแก้ไข ม.112 ก็คือการจัดกฎหมายให้ถูกที่ถูกทาง

ในสังคมโลกวันนี้ การอยู่ร่วมกันในสังคม มันควรต้องวิพากษ์วิจารณ์กันได้ แต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้น มันต้องมีกรอบอันเหมาะสม หากเกินกรอบมันก็ควรโดนลงโทษ

หากวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ลองคิดดูนะครับ ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ขนาดไหน

นี่คือปัญหาที่คนส่วนหนึ่งที่บอกว่าปกป้องสถาบันไม่เข้าใจ อย่าลืมสิครับ พระยังมีศีลตั้ง 227 ข้อ แล้วคนธรรมดาน่ะ ไม่แม้กระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ จะเป็นอย่างไร

เพราะนิติราษฎร์เขามองเห็นตรงนี้ เขาจึงพยายามนำเสนอหลักคิดเรื่องนี้ ว่าควรจะแก้ไข ม.112 อย่างไร เอาไปไว้ไหน การแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีควรเป็นหน้าที่ใคร ไม่ใช่ใครก็ได้อย่างในทุกวันนี้

ง่ายๆนะครับ (ง่ายๆอีกครั้ง เพราะหล่ออย่างผมมันชอบอะไรง่ายๆ แต่ผมไม่ใช่คนใจง่ายเด็ดขาด อย่ามาหลอกซะให้ยาก)

บางคนบอกว่า สถาบันดียังงั้นยังงี้ ไม่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใครวิพากษ์วิจารณ์ต้องติดคุก

มันก็มีคำถามว่า หากดีอย่างที่อ้างแล้ว จะกลัวการวิพากษ์วิจารณ์ทำไม ใครจะมีอะไรไปวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน (ไม่ได้หมายถึงว่าสถาบันไม่ดีมีข้อเสียนะครับ แต่ในความหมายที่ว่า ดีแล้วย่อมไม่มีคำวิพากษ์ อย่างในหลวงของเรานี่ ทั่วโลกยอมรับ ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่ดีเลย จนกระทั่งสี่ห้าปีมานี่ ต่างชาติก็วิจารณ์เรื่อง ม.112 - เห็นไหมล่ะครับ ว่า ม.112 นี่ ทำให้สถาบันเดือดร้อนหรือไม่)

คือในสังคมวันนี้ สังคมมันเปลี่ยนไปเยอะ การห้ามพูด ห้ามเขียน มันห้ามไม่ได้แล้ว ซึ่งยิ่งห้าม ยิ่งสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว มันยิ่งเป็นผลเสีย ซึ่งจะนำไปสู่การแตกหักในวันหน้า

ฝากาต้มน้ำยังต้องมีรูให้ไอน้ำ

เราอยู่ในยุคประชาธิปไตยครับ ไม่ใช่ราชาธิปไตย

เอ... ถึงตรงนี้ หล่อจะโดนข้อหาล้มเจ้าไหมนี่ ทำไมสันหลังมันเย็นวาบๆ

ต้องแยกให้ออกนะครับ ระหว่างความดีของสถาบัน กับกฎหมายที่ใช้บังคับ ถ้ากฎหมายเป็นแบบพูดไม่ได้ เขียนไม่ได้ ติดคุก สถาบันเดือดร้อนครับ

ยากๆ (เอายากๆมั่ง) ถ้าให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ แล้วจะไม่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันไปในทางเสียหายหรือ นั่นสิครับ แน่นอนครับ เมื่อวิพากษ์วิจารณ์ได้ ก็ย่อมต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสียหายแน่

แล้วจะป้องกันอย่างไร ก็ป้องกันอย่างทุกวันนี้สิครับ คือใครดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้าย ก็เข้าคุก

แล้วการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรล่ะที่ต้องการ?

ก็เช่น สถาบันยุ่งการเมืองไหม สถาบันทำธุรกิจไหม ฯลฯ การวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ไม่ควรผิดนะครับ เป็นการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของสถาบัน เพราะสถาบันก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ

อย่างที่ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้เคยให้ความเห็นไว้ครับ ในโลกยุคนี้สังคมสมัยนี้ สถาบันเองก็ต้องมีการปรับตัว เพื่อให้เหมาะกับสภาพสังคม

ความเห็นอย่างนี้ คือการจ้องล้มหรือปกป้องครับ?

ฝ่ายที่มองว่า สถาบันคือเทพน่ะ กำลังทำให้สถาบันเดือดร้อนครับ ฝ่ายที่มองว่าสถาบันควรถูกวิพากษ์ได้ กำลังปกป้องนะครับ

สมัยผมเป็นเด็ก ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" อ่านแล้วทำให้ผมเป็นคนเกเรเลยครับ เพราะผมฉวยโอกาสว่า หากใครด่าว่าผมเกเร ผมก็จะโต้ว่า ไปด่าพ่อกับแม่โน่น ตามใจผมทำไม ผมทำอะไรก็ไม่ว่า คนอื่นว่าก็ไม่ได้ พ่อแม่ผมดุเอาหมด ผมจึงกลายเป็นคนเกเร

อ้าว นอกเรื่อง กลับ ๆ ๆ

สถาบันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานานครับ คนไทยขาดไม่ได้ และสถาบันก็วางตนอย่างเหมาะสมตามบทบาทหน้าที่ จนได้รับการยกย่อง เคารพ รัก เทิดทูน

แต่วันนี้ กำลังมีคนบางกลุ่ม ที่กำลังทำให้สถาบันกลายเป็นเทพเจ้า ทำอะไรก็ได้ ใครว่าอะไรไม่ได้

ปกป้องหรือทำลายครับ?

คนไทยรักสถาบันครับ ต้องการสถาบัน แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่ายุคนี้ สังคมเปลี่ยน กาลเคลื่อน โลกหมุนเร็ว ทุกสิ่งต้องมีการปรับตัวให้เข้ายุคทันกาล

การแก้ไข ม.112 คือการแก้ไขกฎหมายให้เข้ากับสภาพของยุคสมัย ไม่ใช่การปล่อยให้ใครวิพากษ์วิจารณ์สถาบันอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่การไม่เอาสถาบัน

ในวันนี้ คดีความผิดตามมาตรา 112 มีมากมาย ไม่ใช่เพราะใครโกรธ เกลียด ไม่รัก ไม่เอาสถาบันเลยครับ แต่เพราะมีเหตุจากการเมืองทั้งนั้น เพราะการเมืองจึงมีการใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง และผลเสียก็ตกอยู่กับสถาบัน

นิติราษฎร์และคนอื่นๆ เขามองเห็นตรงนี้ครับ เขาจึงพยายามนำเสนอหลักคิด นำเสนอให้มีการแก้ไข ม.112

มองให้ชัด แล้วจะเห็นว่าไม่ได้มีเจตนาหรืออะไรเกี่ยวข้องไปในทางไม่หวังดีกับสถาบันเลยสักนิด

สุดท้าย อยากให้ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับกระทู้นี้ โปรดได้ไปอ่าน ไปฟัง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ดูก่อนนะครับ

เรื่องรัฐธรรมนูญ ขอเอาไว้พรุ่งนี้ครับ แต่ไม่รับปาก อาจหยุดโพสต์สักสิบวัน เพื่อเตรียมทางหนีทีไล่

แอบมาซุ่ม อยู่ไหน อย่าทิ้งเมียคนนี้นะจ๊ะ

และอีกสุดท้าย ขอจบด้วยคำพูดของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ว่า

"ผมรักประเทศนี้ แต่เราต้องการประเทศหรือบ้านที่มีสภาพแวดล้อมที่น่ารักกว่านี้ ที่คนมีเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ ถ้ามีเรื่องไม่เห็นด้วยก็แสดงความไม่เห็นด้วยออกมา ไม่ใช่ว่าพอเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์แล้วต้องเงียบ ฐานคิดของผมคือทำให้เราทุกคนมีความเป็นคนปกติในเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เหมือนเรื่องอื่นๆ องค์กรสาธารณะอื่นๆ เมื่อไม่เห็นด้วยก็เถียงกันออกมา นี่คือความเป็นคนปกติธรรมดา แต่สถานะของสถาบันกษัตริย์มาถึงจุดที่ว่า เมื่อคุณจงรักภักดีมาก แล้วพอมีคนไม่เห็นด้วยแล้วคุณต้องการให้คนที่ไม่เห็นด้วยเป็นอะไรล่ะ สังคมแบบนี้ประเทศแบบนี้มันไม่น่าอยู่เอามากๆ"

ยอมรับครับ ว่าเขียนแบบกลัวๆ กล้าๆ และยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีต่อสถาบันแต่อย่างใดทั้งสิ้น

เนื้อหาจึงอาจอธิบายไม่ชัดเจนเท่าที่ควร(มั้ง) หากใครมองเป็นอื่น ก็ขอจงโปรดตีความอย่างเป็นธรรม อย่าตีความหาเรื่อง

อย่าใช้ ม.112 ผิดที่ผิดทาง

ถึงจะหล่อ แต่ก็กัวเป็นว้อยยย....


ผมค้นพบทางรอดของเราแล้วครับพี่น้อง
By: แอบมาซุ่ม เว็บpantip

เพื่อหาวิธีนำบ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข ในฐานะข้าแผ่นดินไทย ผมจึงพยายามเค้นสมองคิดหาทางออกเพื่อนำบ้านเมืองเรากลับสู่ความเป็นสยามเมืองยิ้มอีกครั้งให้ได้ และดั่งคำที่ว่ากรุง..เอ่อ..กรุงรัตนโกสินทร์ไม่สิ้นคนดี ในที่สุดผมก็คิดออก จะเป็นอย่างไรลองพิจารณาดูนะครับ

อันดับแรกเราไม่ต้องมีนักการเมืองก็ได้นะครับ เพราะมีไปก็เลวๆทั้งนั้นนี่นา ข้าราชการนี่สิของจริงแน่นอนกว่า ล้วนแต่น่าเคารพนับถือเพราะต่างมุ่งปกป้องสถาบันกันทั้งนั้น และที่จริงไม่ใช่แค่ข้าราชการ แต่พสกนิกรทุกหมู่เหล่าก็ล้วนกระหายหิวในการที่จะร่วมปกป้องกันทั้งนั้น อาทิเช่น เครือข่ายหมอตุลย์และสลิ่ม โกตั้บและพวกพ้องอาจารย์มหาวิทยาลัย ศิลปินดารานักร้องอีกคับคั่งมากมาย

ดังนั้นเมื่อสถาบันเป็นจุดรวมใจที่สำคัญยิ่งเช่นนี้ ผมว่าเรากลับไปใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กันดีกว่าครับ น่าจะดีหลายอย่างนะทำเป็นเล่นไป อย่างน้อยก็คือเราจะไม่มีนักการเมืองชั่วอีกต่อไป เพราะเราจะไม่มีการเมืองอีกแล้วไงครับ

ผู้คนเรามันอุรังอุตังยังไม่พร้อมเรื่องการเมืองในตอนนี้หรอก เชื่อพี่ตู้เถอะ ควรให้การศึกษาขั้นต่ำในประเทศคือปริญญาโทก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ เลือกไปตอนนี้ก็ไลค์บอย(เก่าได้ใจมั้ย) เสียงส่วนใหญ่มันไม่มีความหมายหรอก เพราะไม่ว่าจะหนึ่งคนหรือพันคนเราก็ต้องฟังไง

เอาไว้เราเข้าใจตรงกันก่อนว่ากลไกสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือการเลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่แทนตัว และต้องเคารพกติกาที่ว่าอย่างเคร่งครัดค่อยมาว่ากันใหม่

ทีนี้พอเราเปลี่ยนระบอบปุ๊ป กระทรวงการคลังก็ให้รวมกับสำนักงานทรัพย์สินฯไปเลยก็ได้ จะได้สะดวกไม่ต้องตีความให้วุ่นวาย เพราะที่ผ่านมามีการยื่น กฤษฎีกาตีความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายครั้งเหลือเกิน ว่าสำนักงานนี่เป็นของใครกันแน่?

ล่าสุดนี่ก็ฟอร์บทำเป็นมึนรายงานมั่วซั่ว สงสัยไปอ่านรายงานของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อันเนี๊ยะมาแน่ๆ

แม้จะมีประเด็นที่ยื่นตีความไปที่กฤษฎีกาถึงความเป็นเจ้าของมา 5 ครั้ง แต่เมื่อล่าสุดสรุปได้มาว่ายังงี้ ผมก็ว่าเมื่อเปลี่ยนระบอบแล้วก็ให้คลังไปรวมด้วยเลยน่าจะดีนะครับ

ให้องคมนตรีท่านช่วยคัดสรรมุขมนตรีทั้งหลายมาบริหารบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ ทุกกระทรวงทบวงกรมเวียงวังคลังนาก็ให้ทหารหาญแยกย้ายเข้ารักษาการ เพราะทหารเราเก่งมาก ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้ว ให้ยิงกระบาลคนก็ได้ ให้ช่วยน้ำท่วมก็ได้ สุดยอด

ต่อไปเวลาทำอะไรก็ให้เป็นโครงการหลวงทั้งหมด ถ้าเป็นโครงการ นาย ก. นาย ข. ดำรินี่ จะเจี๊ยวจ๊าวเอิกเกริกมาก แต่ถ้าเป็นโครงการตามพระราชดำรินี่จบมั้ย ฮิฮิ.. เงียบเป็นเป่าสากแน่นอน ทีนี้อะไรๆก็ฉลุย

เรื่อง 112 ไม่ต้องเถียงกันอีกต่อไป เพียงเพิ่มโทษขึ้นเป็นตัดคอเสียบประจาน แค่นี้ปัญหาก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง ดูสิใครจะกล้าอ้าปากอีก ทีนี้เราก็ไม่ต้องมามีปัญหากันอีกต่อไปแล้ว

ไม่ต้องไปกลัวว่าประเทศอื่นจะครหา ใครว่าเราๆก็เลิกคบมันเลย ไปแคร์อะไรมัน เมืองไทยในน้ำมีปลาในนามีข้าว มันเป็นแฟนแม่เรารึ ก็เปล่า

การบริหารสื่อก็ให้ท่านปีย์เป็นหัวเรือ ท่านสมเกียรติเป็นตัวเรือ ท่านตั้บท่านหยุ่นแยกย้ายกันเป็นหัวเรือหางเรือตามสะดวก อยู่แน่ คงพอมีหน้าคุยกับชาวโลกได้

ฟื้นบรรดาศักดิ์ขึ้นมาใหม่นี่ก็เก๋ไม่หยอกนะครับ ประเหมาะเคราะห์ดีผมเข้ารับราชการอาจได้เป็นคุณพระคุณหลวงกับเขาบ้าง นึกชื่อไว้บ้างแล้วเหมือนกัน "ขุนไกลการชำนาญหลีกเร้น(แอบฯ)" บ๊ะ..เท่หยอกใครละนั่น "ขุนไกลฯ"

พอตอนเย็นย่ำเลิกงานกลับบ้าน เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นทันที

"นังเล็กๆเอ๊ย อยู่ไหนกันหมด มาพัดวีท่านขุนไกลฯท่านเร็ว ท่านเพิ่งกลับเรือนมา... ว่าแต่คืนนี้ท่านขุนจะนอนเรือนเล็กอีกหรือเปล่าเจ้าคะ อิฉันจะได้ให้บ่าวจัดเตรียมถูก นังขวัญคงดีใจ.." ท้ายเสียงหันกลับมาถามผมด้วยอาการชม้อยชม้าย

ในขณะที่บ่าวไพร่กุลีกุจอกันเข้ามาต้อนรับ ผมทอดกายลงบนตั่งหลุยส์ตัวโปรด ยื่นขาพาดออกไปเพื่อให้นังเล็กๆที่เข้ามาถอดถุงเท้าและเกือกออกได้สะดวกๆ ในขณะที่มือเล็กๆของคนถามก็สาละวนกับการปลดเสื้อนอกออกจากตัวผม ผมกุมมือเธอมาแนบแก้ม

"ไม่หรอก ข้าคิดถึงแต่คุณหญิงเท่านั้น ออกศึกข้านึกแต่รบแต่รบ เสร็จศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น เอ่อ..แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเรือนเล็ก"

โอย..สุข แค่คิดก็มันส์แล้ว

เพียงเท่านี้บ้านเมืองเราก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบนานเท่านานแล้วครับ การทะเลาะเบาะแว้งจะสิ้นสุด ไพร่ฟ้าตาปริบๆก็จะหน้าใสผ่องซีดขาวกันทั่วทุกตัวคน

แล้วเราก็ไปเล่นห้องก้นคน เอ้ย..ก้นครัวกันแทนนะครับ

(โอย..ทำไมอยู่ดีๆท้องอืดวะเนี่ยะ)

ปล. หล่อขวัญ เห็นละ ว่าตะเองแอบมาเล่นเสียวอยู่ที่นี่ เค้าไม่ทิ้งตะเองหรอก แต่ขอซุ่มอยู่ห่างๆก็แล้วกัน ต้องเหลือคนส่งโอเลี้ยงไว้ไง

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

72> เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ คลิปที่ทุกคนควรจะต้องดู ใครตกข่าว เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


เมนูอื่นๆ 897 รายการ คลิกที่นี่...

เมนูง่ายๆ แกงจืดเต้าหู้
By: AoBeOne พ่อครัวตัวกลม

ผมชอบดูรายการทำอาหาร ผมชอบดูเชฟทำอาหาร บางครั้งผมมีความคิดอยาก มีรายการทำอาหารเป็นของตัวเองบ้าง มันเป็นแค่ความฝัน เพราะจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้เก่งกาจ มาจากไหน ที่ทำอาหารพอเป็นทุกวันนี้ ก็มาจากการคลุกคลี อยู่กับครัวในครัว มันก็เลยทำเป็นโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมเคยบอกใครหลายๆคนที่ทำกับข้าวไม่เป็นว่า "ทำกับข้าวไม่ยาก" ลองทำดูแล้วจะรู้ว่าไม่ยากเลย หลายคนอาจเคยดูรายการทำอาหารทางทีวี ดูแล้วบอกว่ายุ่งยากทำไม่ได้หรอก แต่ถ้าใครที่เคยเข้าครัวทำกับข้าวแล้ว พอดูรายการทำอาหาร ก็จะเข้าใจวิธีการทำอาหาร ที่เชฟในรายการเขากำลังทำ

หลายครั้งผมได้เทคนิค หรือวิธีการทำอาหาร ที่เชฟในรายการเขานำเสนออยู่ ผมไม่ได้ดู หรือว่าจำสูตรการทำอาหารอะไร ผมดูเทคนิค วิธีการทำมากกว่า แล้วปรับเอามาใช้ เทคนิคบางอย่างเราไม่รู้มาก่อนเลย พอได้ดูก็รู้ ก็สามารถเอามาปรับใช้ในการทำอาหารได้บ่อยๆ

อย่างที่ผมบอกว่า ผมไม่ได้เป็นพ่อครัวที่ร่ำเรียน หรือจบหลักสูตรจากโรงเรียนไหน โรงเรียนของผมก็คือ ครัวที่บ้านผมเอง และก็มีหม่าม้าของผม เป็นอาจารย์ หลักสูตรการเรียนของผมคือ ดูและถาม แบบครูพักลักจำ แล้วลองทำ แรกๆ ก็อาจจะงง หน่อย แต่ทำบ่อยๆ เราจะรู้แนวทางเอง ว่าทำยังไง

ส่วนเรื่องจะทำอร่อย ไม่อร่อย อันนี้อยู่ที่ประสบการณ์ การทำบ่อยๆ จนรู้ว่า ใส่อะไรอย่างไรเท่าไหร่ ถึงได้รสชาติที่กลมกล่อม ซึ่งเรื่องแบบนี้ มันไม่มีหลักสูตรสอน ต้องอาศัยทำบ่อยๆจนได้"รสมือ" เผอิญ ผมทำอาชีพ ร้านขายอาหาร เลยเหมือนเป็นการได้ลองฝึกทำบ่อยๆ จนการเป็นเรื่องปกติ ที่ทำอยู่ทุกวัน


เมื่อวันก่อน ผมมีเพื่อนใหม่ ใน FB เขากำลังฝึกเรียนทำขนม และอาหารอยู่ เขาก็เลยadd ผมไว้เป็นเพื่อนในฐานะที่ผมเป็นคนทำอาหาร เขาบอกว่า บางทีผมพอจะแนะนำ เคล็ดลับการทำอาหารให้ได้บ้าง จริงๆแล้ว ผมแอบเข้าไปดูรูปขนมที่เขาทำเองในFB ของเขา เขาทำขนมน่าทาน ทำเก่งด้วย ผมซะอีกทำขนมไม่เป็นเลย!!

เรื่องเทคนิคการทำอาหารนี่ บางครั้งเราได้จากการที่เราลองถูกลองผิดเหมือนกัน เรื่องเคล็ดลับนี้มันมีให้เราได้เรียนรู้อยู่เรื่อยๆ อย่างที่เขาบอกกันไว้ "ความรู้เรียนจนแก่ ก็ไม่มีวันหมด" เพราะไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง

ที่นี่บางคนบอกว่า จริงๆก็อยากลองทำกับข้าวเองดูบ้าง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง... ไม่รู้จะเริ่มยังไง ก็เริ่มตรงที่ทำนั่นแหละครับ ถ้าไม่เริ่มก็ไม่ได้ทำซะที เมนูสารพัดไข่ ไข่ดาว ไข่เจียว น่าจะเป็นเบสิกที่ทุกคนต้องทำได้ล่ะ ถ้าถามผม ผมทำกับข้าวอย่างแรกเป็นก็ทอดไข่ นั่นแหละ ตอนนั้นยังเรียนอยู่มัธยม อีกอย่างที่ทำเองบ่อยๆ คือ หมูผัดซีอิ๊ว ทำกินทุกวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เพราะไม่มีใครทำให้กินหรอก ปะป๊า หม่าม้า ของผมเป็นพ่อค้า แม่ค้า ต้องไปขายของที่ตลาด

แต่ถ้าถามถึงกับข้าว ที่ผมทำให้คุณลูกค้าทาน เริ่มทำตอนไหน แรกๆเปิดร้านข้าวต้มใหม่ๆ ผมก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งพ่อครัวเลยครับ ผมก็ช่วยเสิร์ฟ ช่วยดูแลลูกค้า ทำทุกอย่าง แต่ไม่ได้ทำกับข้าว แต่พอนานๆเข้า พอร้านเริ่มมีลูกค้ามากขึ้น หม่าม้าของผมที่ทำครัวอยู่คนเดียว ก็เริ่มทำอาหารไม่ทัน ผมก็ต้องลงมาช่วย เป็นลูกมือบ้าง ลูกมือก็คือ ช่วยจัดของ ช่วยหั่นผัก แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ

แต่อยู่มาวันหนึ่ง ในที่สุดผมก็ต้องลงไปช่วยทำด้วย เพราะให้หม่าม้าทำคนเดียวไม่ทันให้คุณลูกค้ารับประทานครับ ผมยังจำเมนูแรกที่ผมทำให้ลูกค้าทานจริงๆจังๆ คือ "แกงจืดเต้าหู้" ครับ พอทำเสร็จ แอบไปลุ้นผลงานต่อ ปรากฏว่า คุณลูกค้าก็ทานแกงจืดเต้าหู้ หมดแบบไม่มีปัญหาผ่านฉลุย...

เพราะความที่มันเป็นเมนูที่ไม่ยาก ใครๆก็ทำได้ คุณก็ทำได้ครับ ไม่เชื่อลองดู เดี๋ยวเรามาทำแกงจืดเต้าหู้กินกันดีกว่า เตรียมเครื่องกันเลย


ทำแกงจืด ก็ต้อง หมูสับ เต้าหู้ไข่ไก่ ใส่วุ้นเส้นด้วย ต้นหอม คึ่นไฉ่ (ใครจะใส่ผักชี แทนก็ได้) แล้วก็สาหร่ายทะเลด้วย


เคล็ดไม่ลับนิดหน่อย...ตั้งน้ำซุป(น้ำธรรมดาๆก็ได้) ไม่ต้องน้ำซุปร้อนนะครับ น้ำซุปธรรมดาๆไม่ร้อน แล้วเอาหมูสับกับเต้าหู้ไข่ ใส่ตั้งแต่ตอนที่น้ำไม่ค่อยร้อนเลย เพราะว่า เอาหมูสับใส่ตั้งแต่ตอนน้ำไม่ร้อน พอน้ำเริ่มเดือด หมูสับที่เราใส่ไป มันจะค่อยๆสุกจากข้างใน แล้วรสหวานของเนื้อหมูมันจะทำให้น้ำซุป หวานพอดี เวลาตอนที่น้ำเดือด แล้วหมูจะนุ่มน่ากินพอดีกันเลย

ถ้าใส่ไปตอนน้ำร้อนๆ หมูสับด้านนอกมันจะสุกก่อน กว่าข้างในจะสุกพอดีเนื้อหมูจะแข็ง และอีกอย่าง น้ำที่ร้อนๆ พอใส่หมูลงไปจะทำให้น้ำซุปมันขุ่นๆ ไม่ใส ไม่น่ากิน ไม่อร่อยด้วย


พอน้ำซุปค่อยๆเดือด จะมีฟองขึ้นมาจากหมูสับ


เราก็ใจเย็นๆ ค่อยๆตักช้อนฟองทิ้ง จะได้น้ำแกงที่ใสน่ากิน


ปรุงรสเลย ใส่น้ำปลา เหยาะซีอิ๊วลงไปนิดหน่อยให้หอม มีสีสัน แล้วใส่วุ้นเส้นลงไปด้วยเลย คนๆ ปิดไฟ ยกขึ้น


หั่นผัก (ต้นหอม คึ่นไฉ่) เป็นท่อนๆ ใส่สาหร่ายเตรียมไว้ใส่ชาม


ตักน้ำแกงจืด เต้าหู้ ใส่ลงไปในชามผักที่เตรียมไว้ น่ากินไหมล่ะ

จริงๆแล้ว แกงจืดเต้าหู้ เป็นเมนูง่ายๆ ที่ไม่ยากเลย แต่พอจะทำให้ลูกค้าทาน ก็กล้าๆกลัวๆเกร็งๆอยู่นาน กินเองไม่เท่าไหร่ แต่ทำให้คนอื่นกิน ก็กลัวๆ

ที่กลัวเพราะ ทำให้เขากิน เขาไม่ได้กินเฉยๆ แต่เราเอาสตางค์เขาด้วย มันเลยเกร็ง จากแกงจืดเต้าหู้ชามแรกวันนั้น ก็เป็นก้าวต่อมา ที่ทำให้ผม กล้าที่จะลองทำเมนูอื่นๆอีกต่อมาเรื่อยๆ

อย่าลืมนะครับว่า ถ้าผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

71> หนี้ 1.14 ล้านล้าน เอกลักษณ์ ประชาธิปัตย์ หงุดหงิด แต่ไม่แก้

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ "นายกฯปู"เอาใจคนเมืองคอน ใจป้ำ อนุมัติสร้างทางเชื่อมสะพานทันที 53 ล้าน หลังรัฐบาล"มาร์ค"ไม่ดูแล
@ 53... ผมคงต้องยอมรับเสียที ผมนี่แหละครับ รับจ้างโพสท์
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...

หนี้ 1.14 ล้านล้าน เอกลักษณ์ ประชาธิปัตย์ หงุดหงิด แต่ไม่แก้
By: ข่าวสดรายวัน วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7717

สังคมไทยเป็นสังคมที่แปลก ไม่ว่าจะมองจากข้างล่างขึ้นไป ไม่ว่าจะมองจากข้างบนลงมา จะประจักษ์ในความแปลกที่ปรากฏ

อย่างเช่นกรณีหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นต้น

หนี้นี้เป็นผลจากวิกฤตค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 อันส่งแรงสะเทือนให้สถาบันการเงินกว่า 80 แห่งล้มระเนระนาด

มีการออกพันธบัตรเพื่ออุ้มสถาบันการเงินจำนวน 1.44 ล้านล้านบาท

ข้อตกลงที่กระทำระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย คือ ธนาคารแห่งประเทศไทยชำระเงินต้น กระทรวงการคลังชำระดอกเบี้ย

จากปี 2541 สามารถชำระเงินต้นได้ 300,000 ล้านบาท

จากปี 2541 กระทรวงการคลังต้องจัดงบประมาณเพื่อชำระดอกเบี้ยรวมแล้วกว่า 600,000 ล้านบาท

หมดไป 600,000 ล้านบาทขณะที่หนี้ยังคงเหลือ 1.14 ล้านล้านบาท

ทุกรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาล นายชวน หลีกภัย เรื่อยมาจนถึงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าดอกเบี้ยปีละ 6.5 หมื่นล้านบาทเป็นภาระ

ขณะที่เงินต้นลดลงเพียง 300,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน หนี้สิน 1.14 ล้านล้านบาทเมื่ออยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังก็ถือเป็นหนี้สาธารณะ

ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ร้อยละ 40 ของจีดีพี

ทุกรัฐบาลล้วนอยากแก้ไข แม้กระทั่งเมื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็อยากแก้ปัญหา แต่ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาได้ หรือคิดได้แต่ไม่มีรัฐบาลใดมีความกล้าอย่างเพียงพอที่จะทำ

เพิ่งจะมีก็เมื่อมาถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่แหละ

ผลเป็นอย่างไร ผลก็คือ บรรดาคนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหายากๆ ปัญหานี้ได้ต่างประสานเสียงคัดค้าน ต่อต้าน อย่างอึกทึกครึกโครม

คนเก่งๆ อย่าง นายกรณ์ จาติกวณิช ก็ขู่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

มีข่าวลือมากมายถึงความขัดแย้งระหว่าง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี กับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

แต่เมื่อ 2 คนออกแถลงเรื่องเดียวกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทุกคนก็ตะลึงตึงตึง

ยิ่งกว่านั้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แม้จะมีความเห็นต่างในเบื้องต้นแต่ก็ขานรับกับมาตรการของ พ.ร.ก.เยี่ยงเจ้าพนักงานแห่งรัฐผู้มีความรับผิดชอบ


ฝ่ายที่หงุดหงิดไม่หายยังคงเป็นพรรคประชาธิปัตย์ไม่แปรเปลี่ยน

ย่อมเป็นเอกลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ นี่ย่อมเป็นเอกลักษณ์ของนักการเมืองช่างพูด

ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีความคิดที่จะแก้ไขปัญหา ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีความกล้าอย่างเพียงพอที่จะบริหารจัดการหนี้สินระดับ 1.14 ล้านล้านบาทให้อยู่ในที่ทางอันเหมาะสมและมีอนาคต

แต่เมื่อคนอื่นมีความคิดประสานกับความกล้าก็หงุดหงิดก็ไม่พอใจ แปลกจริงๆ


หนี้แบงค์ชาติฯ แสบถึงทรวง...ฟัง ดร.โกร่ง เริ่มนาที 18 เป็นต้นไป

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

70> นายกฯที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหาว่าโง่ในสายตาผม

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 027 Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 029 ชมภาพชุด! นายกฯปูลงเรือเยี่ยมประชาชนเขตดอนเมืองที่ถูกน้ำท่วมขัง...และภาพสวยๆจากสื่อมะกัน
@ 06 ทหารลูกผู้ชายจริง มีหรือไม่? นายกฯปู..จะเรียกตัวมาใช้งานได้ถูก..คน
@ 07 อ.จูงลา จะล่ารายชื่อไล่นายกฯปู ถาม ปชช. 16 ล้านเสียง หรือยัง???
@ ด้วยความเคารพ...ผมรู้สึกว่าพวกกระบวนการโป้งๆชึ่ง มันอยากให้กรุงเทพฯวิบัติจากน้ำท่วม
@ ชมภาพสวยๆทั้ง 3 ชุด บาหลี-ต้อนรับฮิลลารี-บันคีมูนที่ทำเนียบฯ
@ 08 เห็นด้วยไหม ว่าความเป็นจริง ประเทศไทย เกิดปัญหา จากความไม่กล้า และกฎหมายปัญญาอ่อน
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
@ "ดร.สุนัย" เอาจริง ยื่นเอกสาร "ศาลอาญาระหว่างประเทศ"
@ แจกปฏิทิน พ.ศ.2555 ครับ เชิญคลิกโหลดที่นี่...
@ "เจ้าอาวาสวัดดอนเมืองจำได้ นายกฯ "ด.ญ.ปู" ทะเลาะกับหมาแมว
@ ชมภาพชุด&Clip...งานแต่งน้องเอม12ธ.ค.54
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 52... นี่จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมอยากได้ครับ
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ "นายกฯปู"เอาใจคนเมืองคอน ใจป้ำ อนุมัติสร้างทางเชื่อมสะพานทันที 53 ล้าน หลังรัฐบาล"มาร์ค"ไม่ดูแล
@ 53... ผมคงต้องยอมรับเสียที ผมนี่แหละครับ รับจ้างโพสท์

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...

นายกฯที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหาว่าโง่ในสายตาผม
By: ทวดเอง

เมื่อนายกฯได้รับฉันทามติจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ และยังเป็นชัยชนะที่มากมายขนาดทุกพรรคการเมืองรวมกันยังได้คะแนนเสียงไม่เท่า อย่างนี้แล้วเรายังมัวแต่มองภาพลักษณ์ทางลบอย่างเดียว โดยไม่สนใจกับหน้าตาและความก้าวหน้าของประเทศคงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงคิดว่า เราควรมองภาพลักษณ์เชิงบวกบ้าง จะไม่ดีกว่าหรือครับ อย่างเช่น

การต้อนรับและให้เกียรติท่านนายกฯของเราอย่างสมเกียรติ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาเราแทบไม่เคยเห็นจากนายกฯหลายๆท่านที่ผ่านมา เป็นการกลับเปลี่ยนจากตัวตลกในเวทีโลก มาเป็นประเทศที่น่าสนใจดังเดิม แค่นี้ก็ทำให้ผมมีความสุขแล้วครับ

ภาพการเดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศของประเทศต่างๆ ในอุษาคเนย์ ของท่านนายกฯ ทั้งมั่นใจทั้งสง่างาม จนเป็นที่ปลาบปลื้มของผม และน่าจะสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยที่ต่างชาติเริ่มจะยอมรับ แค่นี้ก็ทำให้หน้าตาของประเทศเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและยังเป็นเกียรติยศสำหรับหญิงไทยในเวทีโลกด้วยนะครับ

การต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆก็เป็นไปด้วยความมั่นใจ แสดงถึงความเป็นภาวะผู้นำเป็นอย่างดี ซึ่งเราจะไม่เห็นเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ไปต่อล้อต่อเถียงกับแขกให้เป็นที่อับอายอย่างเช่นนายกฯที่แสนฉลาดกระทำก่อนหน้านี้ แค่นี้ผมก็ถือว่าคุ้มแล้วครับกับการเลือกตั้งครั้งนี้

การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับมิตรประเทศต่างๆ โดยเฉพาะมิตรประเทศอย่างอาเชี่ยน ที่ความสัมพันธ์เลวร้ายสมัยที่เรามีนายกฯดีแต่พูดกระทำไว้ จนกลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นความพร้อมที่จะสู่ประชาคมอาเชี่ยนที่จะมีขึ้นในปี 2558 แค่นี้ผมก็คิดว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจถูกต้องตรงกันแล้วว่า ต้องคุณยิ่งลักษณ์เท่านั้นครับ คนหล่อคอยหาแต่เรื่องไม่เอาครับ

การพบกันระหว่างนายกฯประชาธิปไตยกับนางอองซาน ซูจี นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นภาพบวกต่อประเทศไทยอย่างมากครับ ไม่ใช่รัฐบาลจากการปล้นเขามา แล้วด้านหน้าไปพูดเรื่องประชาธิปไตยกับพม่า จนความสัมพันธ์ต้องร้าวฉาน แล้วประเทศอื่นมองเราด้วยสายตาแปลกๆ แค่นี้ผมก็คิดว่า ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายกำลังหันกลับมาต้อนรับเราอีกครั้งหนึ่งแล้วครับ

การไม่ใช้ พรก.ฉุกเฉิน แต่เปลี่ยนมาใช้ พรบ.ปภ.มาตรา 31 แก้ปัญหาน้ำท่วม ก็เป็นการแสดงถึงความเป็นผู้นำของประชาชน ที่ไม่ใช้กฎหมายรุนแรงในการจัดการกับประชาชนที่กำลังเป็นทุกข์ ก็เป็นเหตุให้ความศรัทธาในกองทัพเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากตกต่ำอย่างยิ่งในยุคของรัฐบาลแย่งชิง แค่นี้ผมก็คิดว่า ท่านนายกฯสามารถทำให้กองทัพที่ทำลายกลายมาเป็นกองทัพที่สร้างสรรค์ เปลี่ยนกองทัพจากผู้ร้ายมาเป็นพระเอกในสายตาประชาชนในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็เป็นความเก่งมากมายแล้วครับ

การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ก็เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะเป็นไปตามครรลองที่ควรเป็น ดังนั้นเราจึงได้เห็นการทำงานของตำรวจในยุคของคุณยิ่งลักษณ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมคนร้ายที่นำระเบิดเพื่อหวังก่อกวน โดยไม่ต้องกันไว้เป็นพยาน ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมคนร้ายปล้นบ้านปลัดและยึดเงินของกลางได้มากกว่าที่เจ้าทุกข์แจ้งไว้ ไม่ว่าจะออกหมายจับคนระดับ ส.ส.ที่ต้องสงสัยในการฆ่าคนกลางที่สาธารณะได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการจับโจรปล้นร้านทอง และข้อสำคัญคดีทำร้ายคนชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตยก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แค่นี้ผมก็คิดว่า ผลงานแค่สี่เดือนของ ผบ.ตร.คนเดียว ยังมีมากกว่า ผบ.ตร.สองคนในยุคของรัฐบาลมาร์คเสียอีก

ส่วนนโยบายที่หาเสียงไว้ ก็ทยอยออกมาเป็นระยะๆ ไม่ใช่ดีแต่พูดครับสำหรับนายกฯคนนี้ พูดแล้วทำด้วยครับ จะสำเร็จหรือไม่ ก็คงต้องรอดูกันต่อไป แค่นี้ผมก็คิดว่า ท่านนายกฯได้กระทำตามที่พูดแล้วครับ

สุดท้ายคงเป็นเรื่องการไม่ตอบโต้ทางการเมืองกับใครๆ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างไม่ย่อท้อ และอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าผู้แพ้ทั้งหลาย แค่นี้ผมก็คิดว่า นี่จึงเป็นนายกฯที่สังคมไทยกำลังอยากได้พอดีเลยครับ เพียงแต่ขอเวลาบ่มเพาะประสบการณ์อีกเล็กน้อย ก็จะเป็นนายกฯที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว คนนี้แหละครับ ที่พวกเราสมควร “เชียร์”ครับ

คลิกอ่าน...กลยุทธ์ "ยิ่งลักษณ์" ใช้ "สงบ" สยบ เคลื่อนไหว ต่อกร เกมการเมือง


ลืมกันหรือยัง...เมื่อ"กบฏ"ออกกฎหมายอภัยโทษให้ตัวเอง

หลัง 19 กันยายน 2549 สิ่งแรกที่ คปค. ประกาศคือ ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเสีย

แล้วใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตราที่สำคัญอย่างยิ่งคือ มาตรา 36 และ มาตรา 37

ในสถานการณ์ปัจจุบันขอยกแค่ มาตรา37 มาให้เปรียบเทียบ

"มาตรา 37 บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึด และควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ของหัวหน้า และคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวหรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น

การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง"

* * * * *

อ่านกี่ครั้งกี่ครั้งผมก็อดสำลักความอยุติธรรมไม่ได้ เสมือนใครสักคนอัดกรวดทรายยัดลงลำคอทุกที

จริงๆแล้ว มาตรานี้เปรียบดั่งคำสารภาพผิดดีๆนี่เอง

ไหนอ้างว่าต้องทำเพื่อแก้ไขบ้านเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อทำความดีแล้วจะผิดได้อย่างไร

แล้วใยจึ่งออกกฎหมายอภัยโทษให้ตนเอง?????

วิถีชน prachatalk.com 17พ.ย.2554

* * * * *

เขาเอามายัดไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เรียบร้อยแล้วครับ ไม่ใช่แค่ประกาศ คปค.อย่างเดียว โดยยกเอา ฉบับชั่วคราว มารับรองถาวรจนถึงวันนี้

มาตรา 309 บรรดาการใดๆที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
มีชัย ฤชุพันธุ์