RedRatkrabang Bangkok Thailand ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน Welcome to...


รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง – เพลง ชีวามาลา – คุณจั่นทิพย์ สุถินบุตร วงดนตรีสุนทราภรณ์ – ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมจ้า...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

96 หนึ่งปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ "ทุกข์ประชาชนหรือฝ่ายค้าน"

@ ผมแอบชื่นชมมวลชนของประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง
@ อู่ตะเภา-เขาวิหาร สันดาน "แมลงสาป"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00... ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง
@ ภาพรวมในความคิดผม หนึ่งวันก่อนตัดสินจนถึงยกคำร้อง
@ สาเหตุที่มึงป่วย...เพราะ...โง่...
@ ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ
@ มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก
@ สามก๊กภาคพิสดาร (การเมือง)
@ แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น... ใครอ่านแล้วต่อมน้ำตาไม่แตก E-mail มารับรางวัล
@ "มาร์ค" ร้องสะอึก..สะอื้น ฟ้องสื่ออ้างแดงเชียงใหม่จงใจทำร้าย ทั้งทุบ ทั้งตี และปาหินใส่รถยนต์
@ แชมป์’กินไม่ได้...
@ Free WiFi ทั่วประเทศ เปิดแล้ววันนี้ (3สิงหาคม2555)
@ อึ๋ยส์!! ที่นั่นมันไม่ใช่ตอแหลแลนด์นะเฟ้ย...
@ โครงการแจกแท็บเล็ตให้เด็ก ป.1 ของนายกฯปู สร้างอัจฉริยะสุดคุ้ม
@ เจอของจริงแกล้งเฉไฉ เฮ้อ!! แถแบบนี้...ผมบายดีกว่า กลัวติดเชื้อ"โรคกลัวความจริง"
@ กะเทาะหัวใจ "ยิ่งลักษณ์" 1 ขวบปีกับบทบาทผู้นำประเทศ
@ 1ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้คืนความสุขกับผมมากมายเลยครับ
@ อีกปีสองปี สถานการณ์เปลี่ยน..มึงซวยทั้งชีวิตแน่ๆ...
@ รมว.ศธ. ให้โอวาทแก่นักเรียนโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๓
@ ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่.........
@ ยืนยันทดสอบการระบายน้ำใน กทม. วันที่ 5 และ 7 กันยายน 2555

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


นายกฯปูกดปุ่มเดินเครื่องหัวเจาะอุโมงค์ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค และ บางซื่อ-ท่าพระ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กดปุ่มขุดอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง-บางแค และ บางซื่อ-ท่าพระ คาดใช้เวลาขุด 2 ปี กำหนดแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2557

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ส.ค.2555 ที่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเริ่มเดินเครื่องหัวเจาะอุโมงค์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ โดยมี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ ปลัดกระทรวงคมนาคม น.ส.รัชนี ตรีพีพัฒน์กุล ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และนายยงสิทธิ์ โรจน์กุล ผู้ว่าการ รฟม. ให้การต้อนรับ


ทั้ง นี้ นายยงสิทธิ์ กล่าวรายงานว่า โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ที่จะเร่งรัดก่อสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เดือน เม.ย.2554 จนถึงปัจจุบันก้าวหน้าไปร้อยละ 21.62 สำหรับหัวขุดเจาะอุโมงค์ที่เริ่มเดินเครื่องในวันนี้ ประกอบที่เมืองกวางโจว สาธารณประชาชนจีน มีขนาด 15 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 6.44 เมตร น้ำหนัก 320 ตัน สามารถขุดเจาะได้ระยะทาง 10-15 เมตรต่อวัน หรือปริมาณดินประมาณ 600 คิวบิกเมตร รวมปริมาณดิน 400,000 คิวบิกเมตร ใช้เวลาขุด 2 ปี กำหนดแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2557


อย่างไรก็ตาม โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย เมื่อก่อสร้างเสร็จจะเป็นวงแหวน เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน และอำนวยประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยจะเก็บค่าโดยสารในอัตรา 20 บาทตลอดสาย


โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง–บางแค และช่วงบางซื่อ–ท่าพระ มีระยะทางรวม 27 กิโลเมตร มีทั้งหมด 21 สถานี ประกอบด้วยสถานีใต้ดิน จำนวน 4 สถานี ได้แก่ 1. สถานีวัดมังกรกมลาวาส 2. สถานีวังบูรพา 3. สถานีสนามไชย 4. สถานีอิสรภาพ และสถานียกระดับ จำนวน 17 สถานี ได้แก่ 1. สถานีท่าพระ 2. สถานีบางไผ่ 3. สถานีบางหว้า 4. สถานีเพชรเกษม 5. สถานีภาษีเจริญ 6. สถานีบางแค 7. สถานีหลักสอง 8. สถานีบางซื่อ 9. สถานีเตาปูน 10. สถานีบางโพ 11. สถานีบางอ้อ 12. สถานีบางพลัด 13. สถานีสิรินธร 14. สถานีบางยี่ขัน 15. สถานีบางขุนนนท์ 16. สถานีแยกไฟฉาย และ 17. สถานีจรัญสนิทวงศ์ โดยโครงการรถไฟฟ้าดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามนโยบาย และเพื่อเป็นการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของประเทศไทยให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อรองรับการเดินทางและการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย


จาก นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินขึ้นเวทีทำพิธีกดปุ่มเดินเครื่องหัวเจาะอุโมงค์ ก่อนที่จะเดินลงไปเยี่ยมชมการทำงานของหัวขุดเจาะอุโมงค์ นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้เดินไปตรวจเยี่ยมโครงการดัดแปลงรถโบกี้ชั้นสาม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟกับสินค้าโอทอป โดยได้ไปดูทำเลจุดที่ตั้งร้านโอทอป หรือ OTOP SHOP INTREND ที่ชานชาลา ภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงด้วย






กร่อย! ไร้สาระ! ปชป.ตายเรียบคาสภา แหยง!ไม่กล้าซักฟอก! เลื่อน!ไม่ไว้วางใจไปสิ้นปี

กร่อย... ง่วง... งั้นๆ เป็นวลีสั้นๆที่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ได้รับจากประชาชนสำหรับผลงานการถกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2556 แต่ที่โดนหนักกว่าก็คือ เมื่อผลของมติจากที่ประชุมรัฐสภาเพื่อรับร่างฯงบประมาณทั้งฉบับ ออกมาด้วยมติเห็นชอบด้วยเสียง 279 ต่อ 8 คะแนน งดออกเสียง 127

พรรคการเมืองฝ่ายค้านถูกกระหน่ำทันทีว่า มีปัญญาทำได้แค่นี้เท่านั้นหรือ???

อภิปรายไม่มีข้อมูล ไม่มีไม้เด็ด ก็เลยใช้วิธีการตีรวนตามแนวถนัดในยุคมาร์คครอง ปชป. นั่นก็คือ ถ้าไม่เล่นเกมวอล์ค เอาท์ ก็เล่นเกมงดออกเสียง

ครั้งนี้อุตส่าห์ตีรวนหารเรื่องสารพัด แต่ซีกรัฐบาลไม่มีใครเข้าทาง โดยเฉพาะประธานที่ไม่หลุดให้กับลูกเล่นของประชาธิปัตย์ ก็เลยไม่มีเหตุให้วอล์ค เอาท์ จึงต้องใช้การงดออกเสียง

แต่หลายฝ่ายก็ยังมองว่าหากงบประมาณ วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาทไม่ดี มีปัญหา หรือว่ามีประเด็นในเรื่องทุจริตอะไรจริงๆ ทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ใช้การลงมติไม่เห็นชอบไปเลย การงดออกเสียงมันหน่อมแน้มเกินไป

ก็พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอาแต่พูดว่าการชี้แจงของรัฐบาลยังไม่สามารถให้รายละเอียดที่ชัดเจนได้

แล้วก็ตั้งแถวเล่นแง่ในเรื่องของการพยายามทวงถามเอกสารรายละเอียดการใช้จ่าย งบประมาณ อ้างว่าประธานและรองประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณไม่ได้ให้ข้อมูลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะงบประมาณจำนวน 1.2 แสนล้านบาท สำหรับการเยียวยาและการฟื้นฟูปัญหาอุทกภัย

จะเอาให้ละเอียดเลยว่า แต่ละโครงการอยู่ที่ไหน มีราคากลางจำนวนเท่าใด แถมขอรายละเอียดย้อนหลังงบประมาณเดิมปี 2555 ด้วย ทั้งๆที่เป็นการพิจารณางบประมาณปี 2556 ก็ยังแถไปได้ว่าไม่ข้อมูลมาใช้ในการพิจารณาร่วมกับปี 2556 เพราะต้องการเห็นความต่อเนื่อง

ทำให้หลายฝ่ายสะท้อนชัดว่า นี่คือการไม่ได้ทำการบ้านของพรรคฝ่ายค้าน และยืนยันถึงการไม่มีข้อมูลชัดๆที่จะมาเล่นงานรัฐบาลได้

จนนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการวิสามัญ ต้องชี้แจงว่าในการประชุมกรรมาธิการวิสามัญ ก็ได้มีการขอเอกสารจากหน่วยงานไปแล้วถึง 971 ชิ้น ถือว่ามากกว่าการขอเอกสารจากหน่วยงานในการพิจารณางบประมาณของปีที่ผ่านๆมา

ที่สำคัญเอกสารที่ขอนั้น อยู่นอกเหนือการดูแลของสำนักงบประมาณ!!!

“สำนักงบประมาณชี้แจงว่าการจัดส่งเอกสารนั้น ให้ได้แค่นี้ นอกเหนือกว่านี้ไม่ได้ ซึ่งการทำงานแบบนี้เป็นมาตรฐานทุกรัฐบาล ส่วนรายละเอียดโครงการต่างๆที่มาจากหน่วยงานราชการ เข้าใจว่าอยู่ในกล่องเอกสารของส.ส.แล้ว โดยขณะนี้เอกสารที่ขอจำนวน 917 ชิ้น ได้ส่งให้ ส.ส.แล้วกว่า 600 ชิ้น ดังนั้นที่เหลือจะทยอยส่งให้หมด” นายวรวัจน์ กล่าว

คอการเมืองเห็นการทำงานของพรรคฝ่ายค้านครั้งนี้แล้วมึน เพราะเรียกขอเอกสาร 900 กว่าชิ้น ทำราวกับจะเอาไปทำวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก โน่นเลย

พอรัฐบาลจัดส่งให้ไม่ครบให้ไป 600 กว่าชิ้น ซึ่งหากเอาไปอ่านจริงๆ ต่อให้ตั้งใจทุ่มเทอ่านอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ แล้วอภิปรายแค่ 3 วัน จะอ่านทันหรือกับเอกสารที่ขอมา

เพราะขนาดนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา ยังมีการตั้งข้อสังเกตด้วยความทนไม่ได้ที่เห็นประชาธิปัตย์เอาแต่ขอเอกสารเป็นหลัก ว่าในเมื่อต้องการเอกสารขนาดนั้น ทำไมในช่วงการพิจารณาของกรรมาธิการวิสามัญ เมื่อเอกสารไม่ครบตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมถึงไม่แขวนการพิจารณาของหน่วยงานนั้นไว้ก่อน

ซึ่งก็จริงอย่างที่นายสมศักดิ์ตั้งข้อสังเกต หากโครงการไหนฝ่ายค้านสงสัย และแขวนเรื่องเอาไว้ ทางหน่วยงานเจ้าของโครงการก็ย่อมจะต้องรีบทำเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมมาให้

แต่นี่ดันปล่อยผ่าน แล้วเอามานั่งทวงถามตอนอภิปราย มองอย่างไรในมุมไหนก็ต้องบอกว่าเป็นการมุ่งตีรวนเสียมากกว่า

ที่สำคัญน่าจะเป็นการมุ่งตีรวนที่มาจากการไม่ทำการบ้าน หรือว่าไม่ได้มีทีเด็ดสมราคาคุย

แถมไม่มีประเด็นเด็ด ประเด็นกล่าวหาในเรื่องทุจริตที่ชัดๆออกมาให้เป็นข่าวเลย

ก็เพราะแบบนี้แหละคนส่วนใหญ่ถึงได้บอกว่าจืดสนิท...


"สุรนันท์" เผย "นายกฯปู" พอใจผลงานทุกกระทรวง เหน็บ ปชป. "ทุกข์ประชาชนหรือฝ่ายค้าน"

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกฯ ได้มีการติดตามและประเมินผลงานทุกกระทรวงมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่นายกฯ เป็นนักบริหาร นายกฯ พยายามเน้นให้ภาคปฏิบัติของแต่ละกระทรวงลงไปแก้ไขปัญหาที่พบเห็นในกระทรวงของตนเอง ซึ่งในการประชุมที่บ้านพิษณุโลก ก็เป็นการมาประชุมกันเนื่องจากบางกระทรวงมีงานคาบเกี่ยวกับกระทรวงอื่น เช่น กระทรวงการต่างประเทศ อาจจะมีบันทึกความเข้าใจคาบเกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ ก็มีการพูดคุยกัน อย่างไรก็ตามนายกฯ พอใจกับผลงานที่ผ่านมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อพอใจแล้วจะไม่ทำงานต่อ เราจะต้องทำงานต่อไป เพราะยังมีนโยบายที่ต่อเนื่อง

นายสุรนันทน์ กล่าวถึงการวิจารณ์ของฝ่ายค้านที่มีการแถลงผลงานของรัฐบาลล้มเหลวว่า ก็ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อวิจารณ์ ที่สร้างสรรค์และมีสาระ แต่เท่าที่ฟังการแถลงของฝ่ายค้าน ตนเห็นว่าเป็นเรื่องเดิมๆ ที่สำคัญหลายเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐบาลที่แล้วได้สร้างภาระไว้ทั้งนั้น ทั้งเรื่องหนี้สิน เรื่องปัญหาภาคใต้ หรือปัญหาเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ปัญหา ซึ่งต้องถือว่า การทำงานของรัฐบาลพบกับเงื่อนไขหลายอย่าง

ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าจะมีการแถลงผลงานของรัฐมนตรีเป็นรายกระทรวง ว่าแต่ละกระทรวงมีผลงานอะไรบ้าง ซึ่งต้องบอกว่ารัฐบาลมีผลงานเยอะ จะมาแถลงแบบจัดฉากรวมผลงานของรัฐบาล ด้วยการเขียนคำขวัญสวยๆ แบบฝ่ายค้านทำคงไม่จำเป็น ส่วนนายกฯ จะมีการสรุปภาพรวมซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณต้น หรือกลางเดือนกันยายน สำหรับการแถลงผลงานต่อสภา รัฐบาลก็พร้อมจะเสนอต่อรัฐสภาเชื่อว่าสิ้นเดือนกันยายนผลงานฉบับสมบูรณ์จะเสร็จและสามารถส่งให้รัฐสภาได้ ซึ่งจะมีการบรรจุเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของรัฐสภา แต่คาดว่าน่าจะเป็นประมาณเดือนตุลาคม

"วันนี้รัฐบาลอยากใช้งานเป็นตัวเดิน ผลงานจะเป็นตัวแสดงให้ประชาชนเห็น มากกว่าการแถลงเป็นวาทกรรมทางการเมือง"

"ผู้นำฝ่ายค้านบอกว่าเมื่อไหร่รัฐบาลชุดนี้จะคิดถึงประชาชนก่อน ผมก็อยากจะบอกว่ารัฐบาลชุดนี้คิดถึงประชาชนอย่างต่อเนื่อง ประชาชนถึงให้ความไว้วางใจเลือกมาเป็นรัฐบาลด้วยเสียงที่ท่วมท้น เราเชื่อว่าเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ และเชื่อว่าประชาชนมีความสุขมากขึ้น ที่สำคัญมีความหวังมากขึ้น ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความปรองดอง การก้าวต่อไปด้วยกันได้ แน่นอนมันต้องมีอุปสรรค ซึ่งคิดว่าประชาชนพร้อมฝ่าฟันอุปสรรค รัฐบาลพร้อมเป็นตัวนำให้การทำให้ทุกภาคส่วนให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ในด้านเศรษฐกิจรัฐบาลจะติดตามตัวเลขทุกตัว พร้อมให้การสนับสนุนกับเอกชนทุกภาคส่วน ทั้งนี้โลกที่ไร้พรมแดน ความผันผวนทางเศรษฐกิจยุโรป หรือผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกแต่เราเชื่อว่าเราอยู่ในภูมิภาคที่มีการเจริญเติบโต ฉะนั้นเราเชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นตัวเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นของโลก ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันที่จะทำให้ความผันผวนส่งผลกระทบได้น้อยต่อเรา"

นายสุรนันทน์ กล่าวว่า ผลงานจะเป็นตัวพิสูจน์ ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านต้องยื่นญัตติให้เกิดความชัดเจนก่อน และในการแถลงผลงานคงไม่ต้องทำการบ้านอะไรพิเศษเพื่อตอบฝ่ายค้าน เราทำงานเพื่อตอบคำถามประชาชนมากกว่า ฝ่ายค้านยังไงก็วิจารณ์อยู่ดี รัฐบาลรับฟัง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นวาทกรรมทางการเมือง หรือการพยายามบิดคำพูดมาวิจารณ์โดยไม่มีการเสนอที่สร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาประเทศ ส่วนปัญหาราคายางตกต่ำนั้น มันมีความต่อเนื่องมีการประชุมกับ รมช.เกษตรฯ มีการรับฟังปัญหาเรื่องยางจากหลายกลุ่ม

"เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่พรรคฝ่ายค้านเดินเข้ามา ตนก็ให้ความเคารพ นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ตนเดินกลับมาไม่ทัน ไม่อย่างนั้นก็จะพูดคุยกับนายอาคม ซึ่งไม่จำเป็นต้องยื่นกับนายกฯ ถ้าจะแสดงความจริงใจในการแสดงความคิดเห็น เพราะ น.พ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตน์ รองเลขาฯนายกฯ ก็ออกไปรับหนังสือ ก็สามารถยื่นได้และส่งถึงมือนายกฯ อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดมาเพื่อโชว์ ไม่ได้ต้องการยื่นจริง ตนคิดว่าไม่จำเป็น"


เหตุผลที่จะทำให้ ปชป.ต้องจ๋อยในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เชื่อว่า ปชป.คงยากที่จะเชือดได้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. สารพัดโพลล์ระบุว่าผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าตาประชาชน รัฐบาลสอบผ่าน

2. นายกฯยิ่งลักษณ์ได้รับโหวตจากสื่อดัง"ฟอร์บ"ให้เป็น 1 ในหญิงผู้ทรงอิทธิพลของโลก ทำให้นายกฯหญิงของไทยมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น

3. นายกฯยิ่งลักษณ์มีบุคลิกตรึงใจประชาชน คือไม่หยุมหยิมจุกจิกจู้จี้ ทั้งสวย และยิ้มสวย เมื่อยืนขึ้นอภิปรายตอบพอเป็นพิธี ก็เพียงพอต่อความไว้วางใจแล้ว (ไม่ต้องพูดมาก ตอบตามข้อมูลจริง ไม่ต้องมีความจริงสีดำ)

4. นายกฯยิ่งลักษณ์ผ่านการทำงานมา 1 ปี ข้อมูลอยู่ในสมองเพียบ การตอบไม่ต้องใช้วิธีอ่านสคริปท์ นอกจากข้อมูลที่เป็นตัวเลข ทำให้มีบุคลิกที่น่าเกรงขาม ไม่แน่ แค่ยืนขึ้น แล้วโปรยยิ้ม สส.ปชป.อาจถึงกับปัสสาวะเล็ดก็เป็นได้...อิอิ

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

95 ไป ๆ มา ๆ ชักจะออกอาการ "สุนัขจนตรอก"

@ ผมแอบชื่นชมมวลชนของประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง
@ อู่ตะเภา-เขาวิหาร สันดาน "แมลงสาป"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00... ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง
@ ภาพรวมในความคิดผม หนึ่งวันก่อนตัดสินจนถึงยกคำร้อง
@ สาเหตุที่มึงป่วย...เพราะ...โง่...
@ ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ
@ มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก
@ สามก๊กภาคพิสดาร (การเมือง)
@ แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น... ใครอ่านแล้วต่อมน้ำตาไม่แตก E-mail มารับรางวัล
@ "มาร์ค" ร้องสะอึก..สะอื้น ฟ้องสื่ออ้างแดงเชียงใหม่จงใจทำร้าย ทั้งทุบ ทั้งตี และปาหินใส่รถยนต์
@ แชมป์’กินไม่ได้...
@ Free WiFi ทั่วประเทศ เปิดแล้ววันนี้ (3สิงหาคม2555)
@ อึ๋ยส์!! ที่นั่นมันไม่ใช่ตอแหลแลนด์นะเฟ้ย...
@ โครงการแจกแท็บเล็ตให้เด็ก ป.1 ของนายกฯปู สร้างอัจฉริยะสุดคุ้ม
@ เจอของจริงแกล้งเฉไฉ เฮ้อ!! แถแบบนี้...ผมบายดีกว่า กลัวติดเชื้อ"โรคกลัวความจริง"
@ กะเทาะหัวใจ "ยิ่งลักษณ์" 1 ขวบปีกับบทบาทผู้นำประเทศ

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


ไป ๆ มา ๆ ชักจะออกอาการ "สุนัขจนตรอก"
By: สายลมรัก

"ไก่อู ถามหาสำเหนียกธาริต" (ฮา)

"ประยุทธ คำราม ถ้าอยากจะให้เป็นเรื่องก็ได้" (ฮากว่า)

นี่คือข่าวพาดหัว สื่อฯ ในประเทศทร้วยส์เมื่อเช้านี้

กับการที่ DSI เรียก พลซุ่มยิง มาให้ปากคำ ตามหลักการสืบสวน สอบสวน ของคดีอาชญากรรม ที่แสนจะธรรมดา แค่เรียกมาถามว่า วันเกิดเหตุ อยู่ตรงไหน ใครเป็นหัวหน้าชุด ยิงหรือไม่ยิง ยิงไปเท่าไหร่ ยิงอะไรบ้าง แล้วเอามาหับลบกับจำนวนกระสุนที่ใช้ไปจริง ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า "สสาร ไม่มีทางหายไปจากโลกเฉยๆ" (ฮา)

จากที่เคยปากเก่ง ออกมาโยนกันว่า ยิงกันเอง แต่เมื่อกระแส มันไม่เอาด้วยก็กลายเป็น ยิงเพราะสมควรยิง เนื่องจากพวกนี้เผาเมือง สังคมก็ยังไม่เอาด้วยอีก เพราะเห็นกันเต็มสองตา ได้ยินกันทั้งสองหู ว่าเกือบร้อยศพ ตายก่อนมีตึกโดนเผา ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มีทางเป็นไปได้ว่า วิญญาณจะอาฆาตแรงและเร็วได้ขนาดนั้น

ผมมองพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำมาต่อสู้หักล้างกันแล้ว

รับรองได้เลยว่า หากไม่มีสัญญาณพิเศษใดๆส่งมาช่วยเหลือหละก็

ติดคุกกันหัวโต เรียงบุคคล แหงแซะ

นับแต่ ชายชุดดำ เป็นพวกเดียวกับชายชุดแดง มีอยู่ 2-3 คน ในคลิปครั้งเดียว

กับข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า คนเสื้อแดง ฝึกยิงสไนเปอร์กัน กลางท้องสนามหลวง (ไม่เกรงใจผีมะขาม กับประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาบ้างเลยนะเมิง)

เมื่อเทียบกับ ภาพนิ่ง ภาพถ่าย วีดีโอคลิป บาดแผลและหัวกระสุนปืนจากศพประชาชนที่เรียงรายแล้ว

ฟันธงไว้เลยว่า "ฆาตกรรอดยาก"

อาการ ขาสั่นจากความจริงเริ่มเปิดเผย จึงยิ่งปรากฏ

อาการสุนัขจนตรอก เริ่มเอาออกมาใช้

ทั้งโฆษก ทั้ง ผบ.ทบ. ออกมาขู่ พนักงานสอบสวนกันฟอดๆ (ไม่รู้เกิดปีมะเส็ง กันหรือเปล่า)

ยุทธการ ฆ่าแล้วกลบเหมือน 6 ตุลาคม 2519 มันใช้ไม่ได้อีกแล้วกับปี 2555

เพราะนี่มันยุคโลกไร้พรมแดนแล้วเว้ย

แม้นยุทธการจะคล้ายคลึงกัน แต่การสวนด้วยหลักฐานโดยเฉพาะภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว มันไม่สามารถ จะหาใบบัวมาปิดได้อีกแล้ว...

อยู่ที่ว่าใครจะแอ่นอกกล้าออกมาพูดว่า เป็นคนสั่งและขอรับผิดชอบเป็นคนแรก

อย่าเลยครับท่าน ประยุทธ ท่านไก่อู

อย่าให้เกียรติของทหาร ที่ท่านหวงนักหวงหนา มันตกต่ำไปมากกว่านี้

ลูกผู้ชายกล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ แบบนี้สิเขาถึงเรียกว่าชายชาติทหาร

อะไร กล้าทำ แต่ไม่ให้สอบสวน เพราะกลัวกำลังพลจะเสียขวัญ (ฮา)

ผมฟังแล้วอยาก "ฮาก" (แปลว่า อยากอ้วก) อยากจะสวนไปนิ่มๆว่า กำลังพลหนะไม่เสียขวัญหรอก เพราะพวกนี้มันโปรมแกรมมาให้ทำตามคำสั่ง

ที่เสียขวัญหนะน่าจะเป็น เมิง เอ้ย..(ขอโทษครับที่เผลอไม่สุภาพ)..ตัวท่านมากกว่า และที่ตัวสั่นหำหด แต่ยังปากกล้าอยู่เนี่ย น่าจะเป็นมาร์ค สุเทพ ไก่อู ปนิธาน ฯลฯ มากกว่า

ออกมาอีกครับ ออกมาอีก ผมจะรอดูอาการ "สั่น"

By: Junior Member

นี่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวผมเองเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ผมกำลังขี่มอเตอร์ไซค์เรื่อยๆ มาตามถนนผ่านหน้าค่ายทหารแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงชนท้ายจนเสียหลักล้ม

โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ท้ายรถเสียหาย ไฟท้ายแตก และบางส่วนตัวรถฉีกร้้าว

คนขับรถคันนั้นเป็นทหารเข้ามาขอโทษขอโพย บอกว่าขับรถเร็วไปหน่อยไม่ทันระวังดู รถของเขาก็เสียหายที่บังโคลนหน้าเล็กน้อย

ผมกำลังตกใจและงงๆ ไม่ได้พูดอะไร เดินวนดูรถเพื่อสำรวจความเสียหาย เพราะเป็นรถของญาติยืมมาทำธุระ

ระหว่างนั้นก็มีทหารกลุ่มหนึ่ง 5-6 คนแต่งชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ ทักทายกับคนชน ท่าทางเป็นพรรคพวกเดียวกัน

ผมกำลังใจไม่ดีเรื่องความเสียหายของรถ ไม่รู้จะไปบอกเจ้าของยังไงดี ยังไม่ได้พูดอะไร รอฟังว่าคนชนจะแสดงความรับผิดชอบต่อค่าเสียหายยังไง

ทันใดเจ้าทหารคนนั้นเริ่มเปลี่ยนท่าที แสดงความเป็นอันธพาลตะคอกกับผมว่า

"ก็พี่มาชนผม แล้วจะเอายังไง มีอะไรรึเปล่า"

แล้วก็มองหน้าแบบหาเรื่อง

คนอื่นก็เดินเข้ามารายล้อมผมไว้ คนหนึ่งก็ทำเป็นผู้ใหญ่ไกล่เกลี่ยว่า

"ให้มันแล้วๆกันไปนะ ต่างคนต่างเสียหายนิดๆหน่อยๆ ซ่อมใครซ่อมมันก็แล้วกัน"

ตอนนั้น ผมไม่รู้จะทำยังไง เพราะตัวคนเดียว และบริเวณโดยรอบก็ไม่มีคนอื่นเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ จำต้องยอมเอารถมาซ่อมเอง

จนวันนี้ ผมก็ยังไม่เคยลืมความเป็นสุภาพบุรุษของชายชาติทหารไทยพวกนั้น

ดังนั้น พอเห็นอาการจนตรอกของทหารวันนี้ ผมจึงไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไหร่

เพราะมันคงเป็นมาตรฐานระดับจิตสำนึกทหารไทยไม่ว่าจะเป็นพลทหาร หรือนายพล

คลิป พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ. นำทหารยิง"กระสุนยาง"ใส่คนเสื้อแดงระหว่างปะทะกันที่ บ.ไทยคม ลาดหลุมแก้ว
@ From... CNN คลิกที่นี่... @ From... VoiceTV คลิกที่นี่...


เฉลิม รับลูก ผบ.ทบ.เลิกจ้อคดีสลายแดง ปัดกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์

วันนี้ (21 ส.ค.55) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ว่า ตนไม่แสดงความคิดเห็นแล้วแต่จะให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และยืนยันว่าตนไม่เคยกลั่นแกล้ง ไม่เคยสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจนครบาล ให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย เพียงแต่สั่งให้ดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง กฎหมาย พยานเอกสาร พยานบุคคล และพยานวัตถุ โดยไม่ต้องกริ่งเกรงหรือเกรงกลัวอิทธิพลใครทั้งสิ้น และไม่ต้องมาฟังคำสั่งตน

"ผมจะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้อีก เพราะพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าผมชี้นำ ซึ่งคดีอาญาชี้นำไม่ได้ ถ้าชี้นำผมก็เข้าคุก ใครทำอะไรไว้รู้แก่ใจ"

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ดูเหมือนไม่สบายใจกับเรื่องดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำถูกต้องแล้วเพราะเป็นผู้บังคับบัญชา อีกทั้งท่านเองก็บอกให้ดำเนินคดีไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่อยากให้สัมภาษณ์รายวัน ตรงนี้ตนก็เห็นด้วย เพราะข้อเท็จจริงทางคดีไม่ควรนำมาเปิดเผยซึ่งอาจจะกระทบใจกัน แต่เจ้าหน้าที่รัฐทั้งทหารและตำรวจได้รับการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 และ 70

ส่วนเอกสารของ ศอฉ.ที่มีการเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตสามารถจะเอาผิดได้หรือไม่นั้น รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่กล้าพูด ต้องถาม ดีเอสไอ เมื่อถามอีกว่าคดีนี้จะสามารถสรุปได้เร็วหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เห็นว่าเร็ว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยืนยันถ้าตนยังมีโอกาสรับผิดชอบต้องตรงไปตรงมา ไม่กลั่นแกล้ง ใครผิดก็ต้องผิด

"ฝากบอกพรรคประชาธิปัตย์อย่าเข้าใจผิดเลย ใครมันแกล้งใครไม่ได้หรอก ซึ่งจะไปแกล้งอย่างไร ดีเอสไอ และตำรวจนครบาลเขาชื่อผมหรือ นักการเมืองมีอำนาจไม่กี่วันแล้วก็ไป ถ้าผมไปแกล้งไว้โดยสร้างหลักฐานเท็จ พอพ้นไปผมก็ต้องติดคุก ดังนั้นเรื่องนี้ไม่มีโดยเด็ดขาด" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าคดีสลายม็อบว่า เรื่องนี้ให้เงียบหรือหายไปจากสังคมไม่ได้ ต้องพิสูจน์ทราบ ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด แต่หากใครไม่ผิดก็กลั่นแกล้งไม่ได้ ที่สำคัญการดำเนินการใดๆ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจต้องปลอดภัย ต้องได้รับการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 และมาตรา 70 ขณะที่คนสั่งการต้องรับผิดชอบว่าสั่งโดยชอบหรือไม่

ดังนั้น จึงมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อทหารและตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นผู้รับคำสั่งที่เชื่อโดยสุจริตใจว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

"เจ้าหน้าที่เขาเป็นฝ่ายปฏิบัติ ที่สำคัญเวลาฝ่ายสั่งการมีอำนาจก็ฮึกเหิม อย่างกรณี ศอฉ.ผู้รับผิดชอบทั้งหมดในการสั่งการ คือฝ่ายการเมืองสั่งตรงต่อตำรวจ และเมื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารก็จะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ฝ่ายการเมืองจะสั่งการทหารโดยตรงไม่ได้ ต้องพิสูจน์กันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และหลังจากวันที่ 17 ก.ย.นี้ จะไต่สวนเสร็จ แล้วศาลจะชี้ว่าใครทำ มันก็จะกว้างขวางมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดมีผู้บาดเจ็บที่บ่อนไก่ เขามาแจ้งความ ดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ผมไม่ได้เป็นคนแจ้งเอง และ ดีเอสไอ สอบสวนก็เป็นเรื่องของ ดีเอสไอ สั่งไม่ได้ เพราะทางคดีมันแกล้งกันไม่ได้ ผมไม่เคยไปยุ่งเลย ตั้งแต่เล็กจนโตเรื่องกลั่นแกล้งทางคดีผมไม่เคยทำ" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว....."

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

94 Clipยกต่อยก..."แก้ว"โดนปล้น แต่"แก้ว"คือ"ฮีโร่"ของคนไทย

@ ผมแอบชื่นชมมวลชนของประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง
@ อู่ตะเภา-เขาวิหาร สันดาน "แมลงสาป"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00... ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง
@ ภาพรวมในความคิดผม หนึ่งวันก่อนตัดสินจนถึงยกคำร้อง
@ สาเหตุที่มึงป่วย...เพราะ...โง่...
@ ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ
@ มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก
@ สามก๊กภาคพิสดาร (การเมือง)
@ แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น... ใครอ่านแล้วต่อมน้ำตาไม่แตก E-mail มารับรางวัล
@ "มาร์ค" ร้องสะอึก..สะอื้น ฟ้องสื่ออ้างแดงเชียงใหม่จงใจทำร้าย ทั้งทุบ ทั้งตี และปาหินใส่รถยนต์
@ แชมป์’กินไม่ได้...
@ Free WiFi ทั่วประเทศ เปิดแล้ววันนี้ (3สิงหาคม2555)
@ อึ๋ยส์!! ที่นั่นมันไม่ใช่ตอแหลแลนด์นะเฟ้ย...
@ โครงการแจกแท็บเล็ตให้เด็ก ป.1 ของนายกฯปู สร้างอัจฉริยะสุดคุ้ม
@ เจอของจริงแกล้งเฉไฉ เฮ้อ!! แถแบบนี้...ผมบายดีกว่า กลัวติดเชื้อ"โรคกลัวความจริง"
@ กะเทาะหัวใจ "ยิ่งลักษณ์" 1 ขวบปีกับบทบาทผู้นำประเทศ

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

เชิญคลิกเข้าไปดูบน Youtube ครับ

คลิกดูที่นี่...เชิญคลิปนี้ครับ


Clipยกต่อยก..."แก้ว"โดนปล้น แต่"แก้ว"คือ"ฮีโร่"ของคนไทย

Comment By เคนจิ: การแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ ที่ลอนดอนในครั้งนี้ถือว่าการตัดสินของคณะกรรมการจากกีฬาหลายประเภทค้านสายตาคนดูในสนามและคนทั้งโลก กีฬาหลายประเภทโดนปล้นชัยชนะไปอย่างหน้าด้านๆ

และกรณีแก้วชกในไฟว์นี้ดูตามสายตาเราไม่แพ้สักยก แต่คะแนนไม่ขึ้น ยิ่งยกสุดท้ายเราทำแต้มได้ชัดเจนเราต่อยเข้าเป้าตลอด ฝ่ายจีนป้อแป้หลังจากชกเสร็จตัวเขาเองยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะชนะเลย

แต่ที่แปลกใจสุดๆคือ การตัดคะแนนแก้วถือว่าผิดกติกา เพราะการเตือนที่นักมวยทำผิดกติกาบนเวทีซ้ำๆกันถึง 3 ครั้ง เช่น กดหัวเกิน 3 ครั้งกรรมการถึงจะตัดคะแนน แต่นี้แค่ครั้งเดียวกรรมการดันตัดคะแนนแก้ว ต่างกับนักชกจีนที่ทำผิดเกิน 3 ครั้งคือกดหัวแก้วตลอด

แต่อย่างไรก็ตาม "แก้วคือนักชกวีระบุรุษของคนไทยทุกคน" ถือว่ากีฬามันมีแพ้-มีชนะครับ อย่าคิดมาก

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

นายกฯปู ให้การต้อนรับคณะนักกีฬาโอลิมปิก

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

93 คนไทยบางกลุ่มใจแทบสลาย เมื่อทักษิณบินอเมริกา...

@ ผมแอบชื่นชมมวลชนของประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง
@ อู่ตะเภา-เขาวิหาร สันดาน "แมลงสาป"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00... ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง
@ ภาพรวมในความคิดผม หนึ่งวันก่อนตัดสินจนถึงยกคำร้อง
@ สาเหตุที่มึงป่วย...เพราะ...โง่...
@ ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ
@ มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก
@ สามก๊กภาคพิสดาร (การเมือง)
@ แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น... ใครอ่านแล้วต่อมน้ำตาไม่แตก E-mail มารับรางวัล
@ "มาร์ค" ร้องสะอึก..สะอื้น ฟ้องสื่ออ้างแดงเชียงใหม่จงใจทำร้าย ทั้งทุบ ทั้งตี และปาหินใส่รถยนต์
@ แชมป์’กินไม่ได้...
@ Free WiFi ทั่วประเทศ เปิดแล้ววันนี้ (3สิงหาคม2555)

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


คนไทยบางกลุ่มใจแทบสลาย เมื่อทักษิณบินอเมริกา...
By: ปลายอ้อกอแขม

สุดจะทนไหว เมื่อดวงใจน้อยๆอันแสนจะบอบบางยิ่ง ของคนไทยส่วนน้อยบางกลุ่ม ที่เห็นตำตาว่าอเมริกายอมให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรเข้าประเทศแบบไม่มีเงื่อนไข..ใจแทบแตกเป็นธุลี

ความเศร้าหมอง ความสิ้นหวังและความท้อแท้ ได้ปรากฏผ่านสื่อออนไลน์ ชนิดน้ำตาท่วมเฟสบุ๊ค และเว็บบอร์ดการเมือง ตัดพ้อต่อว่าอเมริกา กล่าวหาว่าไม่รักษาสัญญาใจ เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ไม่เคารพศาลไทยเสียบ้างเลย!

หลังถูกทำรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยา 49 ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกอย่างสง่างาม 2 ปี ตามหลักฐานที่ คตส.บรรจงใส่พานชงให้อัยการสูงสุดฟ้องเอาผิด ฐานเซ็นชื่อยินยอมให้คุณหญิงพจมานซื้อที่ดิน โดยที่ผู้ขายคือกองทุนฟื้นฟูฯและผู้ซื้อคือคุณหญิงไม่มีความผิด และต่อมาศาลแพ่งฯตัดสินให้คุณหญิงคืนที่ และกองทุนฯคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย..ประเภท "เลิกแล้วต่อกัน"

กระบวนการทำลายทักษิณของฝ่ายตรงกันข้า เป็นไปอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและนอกประเทศ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งจะทำลายทักษิณเท่าไหร่ เหมือนยิ่งเป็นการทำลายตัวเองมากเท่านั้น..คนดูยิ่งเกลียด!

นับวัน พื้นที่ทำลายทักษิณ ยิ่งแคบลงไปๆ ตรงกันข้าม พื้นที่ทำลายตนเองของฝ่ายตรงข้ามทักษิณก็ยิ่งกว้างขึ้นๆ พูดให้ชัดก็คือ ทักษิณมีที่ยืนเต็มไปหมด แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่มีที่ยืนอีกแล้ว..กรรมติดจรวด!

วันนี้ กลับได้ยินเสียงโหยหวนชวนสังเวชของเหล่าอธรรม เสียงเห่าหอนของสุนัขจนตรอกและหางด้วน ที่ไม่มีใครเล่นด้วยดังระงมในซอยแคบๆเล็กๆในดงสลัม เมื่อเห็นทักษิณปรากฏตัวที่อเมริกา..แทบขาดใจตายเสียให้ได้!

เมื่อทักษิณบินเข้าอเมริกาแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะมีประเทศใดในโลกนี้ ห้ามทักษิณเข้าไปอีกแล้ว แม้แต่ประเทศสารขัณฑ์บ้านเกิดก็ห้ามไม่ได้..ถ้าจะเข้า!

แทนที่จะร้องโวยวายว่าประเทศโน้น ประเทศนี้ไม่เคารพไทย ไม่ให้เกียรติไทย แต่ทำไมไม่ย้อนดูพฤติกรรมพวกเดียวกันว่า ได้ทำอะไรไว้บ้าง ทำไม? เขาถึงไม่ให้เกียรติ..ทำไม? เขาถึงไม่เคารพ!

เมื่อไหร่ คนเหล่านี้ จะรู้ตัวและยอมรับความจริงเสียทีว่า ตนเองเป็นฝ่ายผิด ถูกปั่นหัวเป็นจิ้งหรีดให้จงเกลียดจงชังคนๆหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนใจมืดบอดสนิท..เต็มล้นไปด้วยโมหะจริต

เมื่อไหร่ คนเหล่านี้ จะรู้ตัวและยอมรับความจริงเสียทีว่า คนที่ตนเองเกลียดชังสารพัดนั้น เป็นคนที่คนส่วนใหญ่ในประเทศและคนทั่วโลกต้องการเป็นอย่างยิ่ง..พร้อมอ้าแขนรอรับ

เมื่อไหร่ คนเหล่านี้ จะรู้ตัวและยอมรับความจริงเสียทีว่า พรรคการเมืองที่ตนเองสนับสนุนอยู่นั้น ได้ทำร้ายประเทศไทยและทำร้ายคนดีๆจนแทบหมดสิ้น ทำลายโอกาสของประเทศจนไม่เหลือ..ตกถึงลูกหลาน!

ถ้าหากยังไม่รู้สึกสำนึกดังที่ว่า ก็จง "จมหัวอยู่กับความพ่ายแพ้" ทนอยู่กับความผิดหวัง ความเศร้าหมอง ที่จะได้เห็นทักษิณและพวกโลดแล่นไปในเวทีการเมืองและเวทีโลก..จนขาดใจตายเถอะนะ!

หากทนได้ก็ทนไป ผมก็จะทนรอดู ความพ่ายแพ้ซ้ำซากของพวกคุณแต่เพียงชาตินี้เท่านั้น ขออย่าให้แพ้ไปถึงชาติหน้าละกัน..เบื่อว่ะ ขี้เกียจตามดู!!!


"ทักษิณ"โผล่กินข้าวร้านอาหารไทย กลางกรุงนิวยอร์ก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 7 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปรับประทานอาหารที่ร้านผ่องศรี เป็นร้านอาหารไทยในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งออกมาต้อนรับ




@ อึ๋ยส์!! ที่นั่นมันไม่ใช่ตอแหลแลนด์นะเฟ้ย...

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

92 หัวเชือกวัวชน...

@ ผมแอบชื่นชมมวลชนของประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง
@ อู่ตะเภา-เขาวิหาร สันดาน "แมลงสาป"
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00... ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง
@ ภาพรวมในความคิดผม หนึ่งวันก่อนตัดสินจนถึงยกคำร้อง
@ สาเหตุที่มึงป่วย...เพราะ...โง่...
@ ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ
@ มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก
@ สามก๊กภาคพิสดาร (การเมือง)
@ แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น... ใครอ่านแล้วต่อมน้ำตาไม่แตก E-mail มารับรางวัล
@ "มาร์ค" ร้องสะอึก..สะอื้น ฟ้องสื่ออ้างแดงเชียงใหม่จงใจทำร้าย ทั้งทุบ ทั้งตี และปาหินใส่รถยนต์
@ แชมป์’กินไม่ได้...
@ Free WiFi ทั่วประเทศ เปิดแล้ววันนี้ (3สิงหาคม2555)

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...


หัวเชือกวัวชน...
ที่มา: http://www.sarakadee.com
ข้อมูล: อาคม เดชทองคำ, เรื่อง: วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์, ภาพ: ชัยชนะ จารุวรรณากร
ขอขอบคุณ: วิโชติ เกตุชาติ, สันติ เกตุชาติ, เปลี่ยน เกตุชาติ, ผู้ใหญ่บ่าว มาแก้ว, ลุงเล็ก-ป้าประมวล ศิลปผล และเจ้าของวัวชน ผู้ดูแลวัวชนทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการทำสารคดีเรื่องนี้


@ สัมพันธ์หลากหลายในสายเชือก

เชือกในมือเด็กเลี้ยงวัวถูกทอดออกไป ขดกลับเข้ามา แล้วก็ทอดออกไปอีก ปลายของมันพุ่งไปในทิศทางของวัวชนกลางลานทราย แต่ไม่ถึง อย่างนี้ไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวตลอดการพันตูของ "ไอ้โหนด" คล้ายกับจะสื่อความรู้สึกจากใจคนเลี้ยงว่า

"เอาให้ตายเลยไอ้โหนด"

ไอ้โหนดทดแทนใจพ่อแม่พี่น้องที่โยนมากับเชือกจูงวัว ด้วยลีลาชนอันจัดจ้าน เสยเขาทิ่มแทงคู่ต่อสู้ เสียง "ผลัวะๆ" ได้ยินถึงบนอัฒจันทร์ แลเห็นได้ชัดว่า "โคขาว" ฝ่ายตั้งรับกล้ามเนื้อสั่นระริกตลอดตัว อย่างนี้ราคาต่อรอง "สิบสองร้อย/ร้อย" ไม่มีใครรอง

ความจริงตามคำบอกเล่า วัวชนไม่เคยชนกันถึงตาย (แม้กระทั่งสาหัส) มันรู้แพ้รู้ชนะตามประสาสัตว์ ที่จะตายก็คนดูนั่นละ เวลาลุ้นเมามัน คนถือเชือกกับอีกบางรายที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ก็จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้วัวโดยไม่รู้ตัว จนกรรมการกลางสนามต้องเอาผ้า หรือไม้ใกล้มือไล่ฟาด พวกนั้นจึงถอยกลับด้วยท่าทีพร้อมจะเขยิบเข้าไปใหม่ทุกเวลา

ชวนสงสัยว่าอะไรทำให้ต้องทุ่มเทเชียร์กันขนาดนี้?

พอวัวชนะ บ้างก็ชูมือกระโดด...ตีลังกาลงในปลักขี้เลน แสดงอาการลิงโลด เข้าสวมกอดวัวทั้งกลิ่นคาวเลือด บางคนร่ำไห้ออกมาด้วยความหนำใจ "ได้แรงอก" ภาพต่อมาเป็นการคล้องพวงมาลัย ตกแต่งประดับประดาเขาด้วยปลอกที่มีพู่สีสดใส ตลอดจนเสื้อสามารถก็มีให้วัว ชาวบ้านร้านตลาดเห็นต้องรู้ว่า "วัวกูชนะ" โดยที่วัวไม่รู้ความหมายคุณค่าที่แท้ของสิ่งเหล่านี้เลย ด้านผู้แพ้พากันจูงออกทางด้านหลัง หน้าบอกบุญไม่รับ

ชัยชนะหมายถึงเงินรางวัลตุงกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงเจ้าของวัว และพรรคพวก แต่ว่าไปแล้ว พิธีการประกาศชัยชนะนั้นสำคัญกว่า มีความหมายกว่าในสังคมชนวัว "ชนะ" เป็นเงินเท่าไหร่ไม่ต้องพูดถึง ขอให้ชนะเท่านั้นเป็นพอ

อย่างน้อย ชัยชนะที่บ่อนบ้านเสาธงครั้งนี้ก็ทำให้ "โหนดนำโชค" วัวชาวบ้านจากลานสะกามีคนกล่าวขวัญถึงอีกนาน มีนายหัวสนใจอยากได้เป็นเจ้าของมากขึ้น และที่สำคัญสามารถทำให้มันยืนเป็นตัวหลักของวัวชน "รอบพิเศษ" ในรายการใหญ่ที่กำลังจะมาถึงได้สบายๆ

ณ อีกมุมของบ่อนบ้านเสาธง นักเลงวัวชนคนหนึ่งเฝ้าดู "ทางชน" ของไอ้โหนดอย่างตื่นเต้น เขาเป็นเจ้าของโคขาวเพชฌฆาตจากอำเภอทุ่งใหญ่

ตื่นเต้นเพราะรู้เลยว่ามีโอกาสในการช่วงชิงชัยชนะจาก "โคโหนดนำโชค" ผู้ชนะในวันนี้

@ วัวใต้

ฝนโปรยรับงานเดือนสิบแต่เช้าวันต้นเทศกาล ดังคำท่านว่า "คนมีวาสนาทำบุญฝนตก ยาจกทำบุญแดดออก" ด้านคนต่างถิ่นก็เข้าถึงภาวะที่ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ของอากาศคาบสมุทรภาคใต้ไปพร้อมกัน

ชนวัวเป็นส่วนหนึ่งของงานบุญ? คงไม่ใช่เรื่องจะมาสอบถามกันเวลานี้ (มิฉะนั้นจะต้องลากไปถึงว่า "บุญ" คืออะไร) การชนวัวดำรงอยู่ควบคู่กับจังหวัดนครศรีธรรมราชมาช้านาน ในฐานะกีฬาพื้นบ้าน ในเทศกาลบุญเดือนสิบ ตรุษสงกรานต์ ปีใหม่ ถือว่าขาดวัวชนไม่ได้

ช่วงเทศกาลบุญเดือนสิบ (ราวปลายเดือนกันยายน) สนามชนวัวหรือบ่อนวัวบ้านยวนแหลของอำเภอเมือง จัดมหกรรมชนวัวต่อเนื่องกันเจ็ดแปดวัน เปิดฉากจากสายๆว่ากันไปจนใกล้ค่ำจึงแล้วเสร็จ ๑๘-๒๐ คู่ มีให้ดูกันจุใจขนาดนี้ บริเวณรอบๆสนามชนวัวจึงกลายเป็นคอกขนาดใหญ่ให้โคถึกกว่า ๒๐๐ ตัวพักแรมรอลงสนาม พร้อมคนเลี้ยงวัว หุ้นส่วนชีวิตที่กินนอนด้วยกันนานแรมเดือน

ชนวัวช่วงเทศกาลจัดว่าเป็นนัดพิเศษ วัวเก่งก็มีวัวใหม่ก็มาก เนื่องจากตลอดปี จังหวัดนครศรีธรรมราชมีชนวัวแทบทุกสัปดาห์ หมุนเวียนกันไปในหกสนามของอำเภอต่างๆ โดยแต่ละสนามได้รับอนุญาตให้จัดเดือนละครั้ง

หากต้องการขยายภาพความนิยมใน "กีฬา" ชนิดนี้ ให้กว้างขึ้นจากเมืองคอน จะเห็นว่าพัทลุง ตรัง สงขลาก็มีบ่อนชนวัวของตัวเองจังหวัดละสองสามสนาม รวมเป็น ๒๒ สนามทั่วภาคใต้ในขอบเขตวัฒนธรรมชนวัว บางจังหวัดแม้ไม่มีบ่อนชนวัวเป็นการถาวร แต่ก็นิยมเลี้ยงไว้ขายและชนต่างถิ่น

วัวดีที่สุดของภาคใต้ขณะนี้ นักเลงวัวยอมรับว่าเป็นวัวของบ้านนาสาร สุราษฎร์ธานี ซึ่งไม่มีสนามชนวัวของตัวเอง

นอกจากนี้ การที่โคถึกวัยคะนอง ช่วงอายุระหว่าง ๕-๑๕ ปี ไม่อาจจะลงสนามได้ทุกบ่อยเหมือนนักมวยงานวัด ชนครั้งหนึ่งต้องพักรักษาตัวไปสองสามเดือน บางตัวต้องหกเดือน จึงติดคู่ชนครั้งใหม่ อาจเป็นตัวอย่างทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าเรามีวัวชนหมุนเวียน อยู่ในลานทรายอันมหึมามากมายเพียงใด

หากคุณนั่งรถผ่านย่านที่มีรถเก๋ง รถปิกอัป มอเตอร์ไซค์จอดเต็มสองฟากถนนเป็นแนวยาว เก้าในสิบที่เจอก็ควรเป็นสังเวียนชนวัว ที่ซึ่งเงินสดๆสะพัดวันละเหยียบ ๑๐ ล้านบาท หากเป็นวัวดีของภาคใต้ค่าหัว ๓-๔ แสนบาทโคจรมาเจอกันด้วยแล้วบ่อนแทบปริ ค่าผ่านประตูรอบเดียวอาจเก็บได้ถึง ๓ ล้านบาท เหมือนที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์จำติดตาว่า "ใบห้าร้อยยัดใส่หลัว...ไม่ต้องนับ"

เรามักจะเห็นวัวชนต่อเมื่อมันถูกจูงเข้าสนาม หรือยามออกเดินถนนกับคนเลี้ยง ตามฐานะความสัมพันธ์ ระหว่างวัวชนกับคนเลี้ยงหรือเจ้าของ ทว่าระหว่างหัวเชือกทั้งสองข้าง คือในมือคนจูงวัวข้างหนึ่งกับจมูกวัวข้างหนึ่ง ยังประกอบด้วยสายสัมพันธ์แวดล้อมอื่นๆที่มองไม่เห็นของ "สังคมชนวัว" ซึ่งควรแก่การสนใจไม่น้อย นับตั้งแต่ครอบครัวคนเลี้ยงวัว, เถ้าแก่ (นักธุรกิจ) เจ้าของวัว, นายสนามชนวัว, ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดชนวัว, นักพนัน, พ่อค้าแม่ค้า, คนให้เช่าที่พักวัว, ผู้อุปถัมภ์สนาม, นักการเมืองท้องถิ่น นอกจากนี้ยังอาจหมายรวมถึง ขนบนิยมแฝงเร้นว่าด้วยการเสี่ยงสู้ ความต้องการเอาชนะ ไว้เหลี่ยมไว้เชิง ไม่ยอมเสียเปรียบของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยวัวชนเป็นตัวแทน

การคลายเกลียวเชือกแห่งความสัมพันธ์คงต้องเริ่มตั้งแต่ -- วิถีความคิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งวัวดี

* * * * *

การได้มาซึ่งชัยชนะต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกเฟ้นวัวชน

"ลุงดำ" เจ้าของวัวโหนดนำโชค ยังคงเชื่อเรื่องลักษณะเด่นจำเพาะของวัวดี ที่คนรุ่นเก่าเชื่อถือสืบกันมาว่า ให้ดูที่ขวัญ เขา สี ลักษณะอันเป็นศุภลักษณ์

"โคโหนด" มีสีแดงอมน้ำตาลระเรื่อของลูกตาลโตนดตรงบริเวณลำตัว ใต้ท้อง ส่วนหัวและสะโพกเป็นสีดำ "โคดุกด้าง" หมายถึงสีเทา - ดำหม่นเหมือนสีปลาดุก "ลังสาด" ก็คือสีน้ำตาลของผลลางสาด นอกจากนั้นก็มี สีแดง สีขาว นิลที่เป็นสีดำจนถึงดำเข้มตลอดทั้งตัว นักเลงวัวเรียกขานวัวของเขา จากสีพ่วงท้ายด้วยฉายาที่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของวัวตัวนั้น หรือที่เป็นมงคลโดนใจ

แต่ละสียังมีโทนสีปลีกย่อยออกไปพอสมควร น่าสนใจตรงที่มีความเชื่อกันว่า วัวสีหนึ่งจะชนะวัวบางสี และอาจจะแพ้วัวบางสี เช่น วัวนิลเพชรชนะวัวโหนด วัวโหนดชนะวัวขาว ส่วนวัวที่ถือกันว่ามีลักษณะดีเลิศ ชนะวัวทั้งปวงคือ "วัวศุภราช" ลำตัวสีแดงเหมือนแสงเพลิงที่รุ่งโรจน์ แต่มีรอยด่างขาวตั้งแต่โคนหางตลอดถึงตา โดยเฉพาะบริเวณเท้าทั้งสี่ หาง หนอก หน้า ดังคำกล่าวที่ว่า "ตีนด่าง หางดอก หนอกผาดผ้า หน้าใบโพ" แต่วัวลายโดยทั่วไปที่ไม่ใช่วัวศุภราช จะไม่เป็นที่นิยมใช้เป็นวัวชน เพราะถือว่า "วัวลายควายขาวย่อมใจเสาะ" เจ้าของบางคนเลือกวัวที่สีถูกโฉลกกับชะตาราศีตัวเองด้วย

ดูขวัญ เขา สีแล้ว ยังต้องดูลักษณะเด่นบางอย่างประกอบ ตั้งแต่ รูปหน้า หู ตา หาง ลึงค์ ลูกอัณฑะ จนถึงขนที่อวัยวะเพศ อย่างที่ชาวบ้านประมวลไว้คล้องจองว่า "หู ตาเล็ก หางร่วง หัวรก หมอยดก คิ้วหนา หน้าสั้น เขาใหญ่ ลูกไข่ช้อนไปข้างหน้า" แต่ถ้าวัวมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งที่ เขากาง หลังโกง หางสั้นหรือยาวมากเกินปรกติ ถือกันว่าไม่ดี

แต่จากประสบการณ์ของคนเลี้ยงวัว ไม่มีวัวตัวใดที่มีนิมิตดี ครบถ้วนทุกลักษณะวัวชน แล้วจริงๆก็ไม่น่าจะมีวัวครอบครองลักษณะเลว ครบถ้วนทุกกระบวนท่าเหมือนกัน ส่วนใหญ่มีทั้งลักษณะดีและร้ายคละปนกัน วัวชนที่มีลักษณะดี ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นวัวชนที่ดี และชนชนะเสมอไป ขณะที่ตำราลักษณะวัวชนกล่าวว่า วัวที่ลักษณะร้ายสามข้อดังกล่าวข้างต้น รวมอยู่ในตัวเดียวกัน คือ "เขากาง หางเกิน และหลังโกง" ก็กลับถือว่าเป็นลักษณะที่ดี ว่ากันว่า "แดงไพรวัลย์" วัวชนลือชื่อในอดีตก็มีลักษณะเช่นนี้

สิ่งที่คนรุ่นก่อนบอกเล่าต่อมาในรูปมุขปาฐะ นับเป็นภูมิปัญญาจากการเฝ้าสังเกต เก็บข้อมูลมาเนิ่นนาน วัวชนเป็นกีฬาที่ต้องต่อสู้แบบประจันหน้าตัวต่อตัว ดังนั้นการที่อวัยวะบางส่วน มีคุณลักษณะเด่น ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบคู่ต่อสู้ ในขณะที่อวัยวะบางส่วนต้องมีขนาดเล็ก เพื่อจะได้รอดพ้นจากการทำลายของคู่ต่อสู้ให้มากที่สุด คนปักษ์ใต้แยกอธิบายว่า

"เขา" วัวชนต้องมีโคนเขาใหญ่และแคบ ช่วยป้องกันไม่ให้ปลายเขาของคู่ต่อสู้ ทะลวงเข้าไปทิ่มแทงกล้ามเนื้อบริเวณกกหู และลำคอได้

"วงหน้า" ต้องมีขนาดเล็ก มนและสั้น ด้านหน้าของหัวแคบมีความสัมพันธ์กับโคนเขาใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อ จำกัดพื้นที่ส่วนหน้า ที่จะต้องเสียดสี และเปิดรับอาวุธคู่ต่อสู้ให้น้อยที่สุด

"คิ้วและตา" คิ้วหนา ตาเล็กต่างก็เกื้อกูลในทำนองที่จะช่วยปกป้องตา ไม่ให้ได้รับอันตรายจากทั้งปลายเขาของคู่ต่อสู้ และเลือดที่ไหลในขณะทำการต่อสู้

ขณะที่ลักษณะบางอย่างน่าจะมาจากความเชื่อล้วนๆ เช่น "หัวรก หมอยดก" ชาวบ้านแปลความว่า เป็นวัวที่มีใจมาก น้ำอดน้ำทนสูง ไม่ยอมแพ้คู่ต่อสู้ง่ายๆ

@ สังเวียนกลางทุ่ง

ตอนลุงดำซื้อไอ้โหนดมา มันอายุราวหกเดือน เงิน ๖,๐๐๐ กว่าบาทก็เหมาะสมดีกับวัวพันธุ์พื้นเมือง ที่ใช้งานในไร่นาทั่วไปวัยขนาดนี้ ส่วนมากคนซื้อไม่รู้หรอกว่า ลูกวัวที่ได้มา มีเชื้อพันธุ์วัวชนเก่งกาจผสมอยู่บ้างหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นลูกวัวสายพันธุ์ดีนั้น ซื้อขายกันในราคาสูงเกิน ๑ หมื่นบาท

แต่แกเห็นว่ามันมีรูปลักษณ์ดีตามคตินิยม (เท่าที่เห็นได้ในขณะนั้น)

วัวทั่วไปพออายุ ๓-๔ ปีก็เริ่มถึก และเริ่มชิงความเป็นจ่าฝูง โดยการประลองกำลังชั้นเชิงในการต่อสู้ และน้ำใจอดทน เจ้าของฝูงจะคัดเลือกตัวชนะไว้เป็นพ่อพันธุ์ ตัวที่แพ้ก็ทุบลูกอัณฑะตอนเสีย ไม่ให้ขยายพันธุ์เสีย เรียกกันว่า "วัวลด" แต่สำหรับคนเลี้ยงระดับชาวบ้าน มีวัวแค่วัวสองตัว ถ้าชนเก่งก็ถือว่าโชคดีเหมือนถูกหวย ถ้าไม่สู้เพื่อนก็เลี้ยงเป็นวัวเนื้อโดยปริยาย ไอ้โหนดโตเป็นหนุ่มก็เริ่มส่อแววว่า มีอุปนิสัยส่อไปในเชิงชอบต่อสู้ เช่น ซุกซน ปราดเปรียว ชอบชนกับวัวอื่นๆในทุ่ง ไม่กลัวแม้เผชิญหน้ากับตัวใหญ่กว่า ประสาที่เรียกว่า วัวด้น - แบบเดียวกับมฤตยูดำ ไมค์ ไทสัน นักมวยเฮฟวีเวต

จึงเริ่มซ้อมชนกลางทุ่งนาเพื่อดูทางชน หรือชั้นเชิงของมันว่าจะอยู่ในระดับไหน ที่สำคัญมากคือดูใจแห่งความเป็นนักสู้ว่าชนได้นานเพียงใด หากวัวชนได้เพียง ๕ นาที หรือเพลี่ยงพล้ำเพียงเล็กน้อย แล้วหันหลังหนีก็ใช้ไม่ได้ เหมาะจะเลี้ยงเป็นวัวเนื้อมากกว่า การชนแบบนี้จะต้องพันเขาด้วยพลาสเตอร์ เพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์ว่า ไม่ได้เล่นพนัน และมักชนกับวัวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่ไม่เคยผ่านสังเวียนจริงมาก่อน

ปัจจุบันวัวที่ชาวบ้านซื้อมาเลี้ยงราคา ๑ หมื่นบาท พอเอามาซ้อมชนจะจะเพียงครั้งสองครั้ง อาจขายให้เถ้าแก่ได้ทันที ๔-๕ หมื่นบาท ทว่าหลายคนก็ปฏิเสธไม่ยอมขาย ลึกๆทุกคนก็หวังจะให้วัวโตขึ้นมา กลายเป็นตำนานวัวชนอย่างโคโพเงิน โคแดงไพรวัลย์ โคขาวรุ่งเพชรทั้งนั้น โคโพเงินเป็นวีรบุรุษของครอบครัวกาฬคลอด และชาวบางบูชา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากตายไปแล้ว คนในครอบครัวยังให้ความรักความผูกพันประหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ จึงได้สตัฟฟ์ไว้บูชาและจัดที่อยู่อันควรให้

เจ้าโหนดเองก็มีคนเลียบเคียงขอซื้อมากมาย แต่เมื่อมันชนชนะสังเวียนกลางทุ่งครั้งหลังสุด ลุงดำและพรรคพวก ก็รู้ว่ามันจะเป็นวัวมีระดับในอนาคต ได้ใช้ชีวิตท่องไปตามสังเวียน เพื่อล่าเดิมพันวงเงินล้าน

ความจริงเกี่ยวกับชีวิตวัวชนข้อหนึ่งจากปากนักเลงคือ การเป็นวัวชน เท่ากับยืดเวลาการตายของมันออกไป นานกว่าปรกติ วัวดี สุขภาพสมบูรณ์จะสามารถชนจนถึงอายุ ๑๒-๑๕ ปี พวกนี้มักจะอยู่ได้จนสิ้นอายุขัยในแปลงหญ้า ขณะที่วัวไม่ได้เป็นวัวชน อายุได้เพียง ๓-๔ ปีก็ถูกส่งขายเขียงเนื้อ


"โคนิลเพชรหัวใจสิงห์" ดาวรุ่งอายุ ๗ ปีของบ่อนยวนแหล มีประวัติต่างจากไอ้โหนด มันเป็นผลผลิตจากสายพันธุ์ของวัวชนชั้นดี สายพันธุ์ดีหมายถึง gene วัวชนชั้นเลิศจากทางสายแม่ (พ่อของแม่เป็นวัวชน หรือพี่น้องตัวผู้ของแม่เป็นวัวชนระดับแชมป์เปี้ยน) ยิ่งถ้าผสมกับสายพ่อที่เป็นวัวชนระดับขุนพล ลูกที่ได้ย่อมมีพันธุ์ประวัติดี เข้าทำนอง "เชื้อมักไม่ทิ้งแถว"

เจ้านิลมีองค์ประกอบสำคัญซึ่งเป็นที่นิยมอีกข้อหนึ่ง คือโครงสร้างของร่างกายที่แข็งแรง -- คร่อมอกใหญ่ บั้นท้ายเล็กเรียวลาดลงคล้ายสิงโต วัวคร่อมอกใหญ่ได้เปรียบเพราะ ยามเข้าต่อหัว วัวจะทุ่มน้ำหนักไปข้างหน้าทั้งหมด ฝ่ายที่มีหน้าตัดของกล้ามเนื้อมาก หรือมีมวลมากย่อมได้เปรียบ จะสามารถกดดันคู่ต่อสู้ ให้เสียการทรงตัวได้ง่าย ขณะเดียวกันก็ต้านแรงปะทะจากคู่ต่อสู้ได้ดี

ทุกวันนี้เวลาจะซื้อวัวชน คนมีแนวโน้มที่จะเลือกวัวสายพันธุ์ดี (แม้ราคาแพงกว่าสองสามเท่า) มากกว่าจะเลือกว่าขวัญอยู่ตรงหนอก หรืออยู่กลางหลังตามภูมิความรู้ที่สั่งสมมา กระแสคิดที่แปรเปลี่ยน นอกจากแสดงว่าคนอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ ในการคัดเลือกมากขึ้นแล้ว จะเป็นไปได้ไหมว่า มันยังสะท้อนถึงลักษณะนิสัย เกี่ยวกับความต้องการเอาชนะ ที่เข้มข้นขึ้นของคนกลุ่มนี้ด้วย

วัวทั้งสองแสดงชั้นเชิงเข้าตานักเลงวัว และได้รับการขุนอย่างจริงจัง ฟิตตัว ออกกำลังแข็งแกร่ง...กล้ามคอขึ้นแน่นปึ้ก

หลังจากชนบ่อนชนะเพียงสองครั้ง มันก็ถูกซื้อมาอยู่กับเถ้าแก่ของบ่อนยวนแหล ด้วยราคา ๔ หมื่นบาท ตอนนี้ราคาของมันสูงจน "ไม่มีราคา" "ซื้อสิบกว่าเราก็ไม่ขาย" ครูจุ๋ม เจ้าของใหม่บอก "มันไม่ได้มีไว้ขาย" -- "สิบ" ของเขาภาษานักเลงวัวนักพนันหมายถึง ๑ แสนบาท

ความที่ "เนื้อเลี้ยง" -กำลังบำรุงดี ทำให้ไอ้นิลได้รับการวาง (ซ้อมชน) ทุก ๑๕-๒๐ วัน มีคนเลี้ยงประจำสองคน ไม่นับคนตัดหญ้า อีกทั้งลุงเจ้าของคนเดิม ที่หมั่นมาดูแลเสมือนเป็นพี่เลี้ยงให้อีกคน

ในรอบหนึ่งวัน ทั้งเช้าและเย็นไม่ว่าสภาวะอากาศจะอย่างไร คนเลี้ยงจะพาวัวเดินออกกำลังตามถนนดิน หรือชายหาด ระยะทางใกล้ - ไกลตามแต่ต้องการ เดินวัวรอบเช้ากลับมา จะต้องอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้วัว ยิ่งใกล้วันแข่ง จะมีการเพิ่มรอบอาบ พร้อมด้วยการนวดเฟ้นให้วัวสดชื่นกระปรี้กระเปร่า หญ้าที่วัวชนกินต้องเป็นหญ้าตัดสดๆเท่านั้น ไม่ปล่อยให้วัวเดินแทะเล็มหญ้ากินเอง ในระยะหลังเริ่มมีการเลือกชนิดของหญ้าด้วยว่า ต้องเป็นหญ้าหราดกับหญ้าหวายข้อ ที่มีไขมันน้อยเท่านั้น วัวจึงได้รับธาตุอาหารที่เหมาะสม บางคนพอวัวติดคู่ชนแล้ว จะไม่ตัดหญ้าซ้ำที่เดิม เพราะกลัวถูกวางยา

วัวกินหญ้าไปพร้อมๆกับ "ตรากแดด" แม้เมื่อกินหญ้าอิ่มแล้ว ก็ยังคงถูกปล่อยไว้ที่เสาหลักกลางแจ้ง ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้าต่อไป เพื่อลดไขมัน และสร้างความเคยชินต่อภาวะตรากตรำ จะทำให้ไม่เหนื่อยง่ายเมื่อทำการชนจริง

สำหรับคนเลี้ยงวัวระดับชาวบ้าน กิจกรรมการประคบประหงม ต้องใช้แรงงานอย่างน้อยสองคน ไม่พ่อกับแม่ก็พ่อกับลูกชาย ต้องใช้ทั้งเวลา และความวิริยะอุตสาหะ ชาวบ้านจึงเลี้ยงวัวชนได้ไม่มากกว่าคราวละหนึ่งตัว หากมีภาระต้องดูแลลูก หาเงินส่งลูกก็เลี้ยงไม่ได้

ฝ่ายคนที่รับจ้างเถ้าแก่เลี้ยงวัวก็ใช่ว่าเขาจะมีความผูกพัน มุ่งมั่นในชัยชนะ ถึงขั้นทุ่มเทชีวิตให้แก่วัวชนน้อยกว่ากรณีที่เป็นเจ้าของเลี้ยงเอง เพราะความจริงคือ พวกเขาจะต้องกินนอนอยู่กับวัว เกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูก วัวชนตัวนั้นเป็นของพวกเขานั่นเอง โดยที่มีเถ้าแก่ (ซึ่งทำธุรกิจอย่างอื่นเป็นหลัก) ซื้อมาให้เลี้ยง

คำว่า เลี้ยงวัว ของบรรดาเถ้าแก่ นายหัว จึงหมายถึงเขาจะต้องเลี้ยงคนเลี้ยงวัว เลี้ยงครอบครัวของคนเหล่านั้นให้อยู่ดีกินดี ถ้าครอบครัวคนเลี้ยงวัวมีปัญหา เถ้าแก่จะต้องมาดูแลด้วย มิฉะนั้นวัวจะมีปัญหาไปด้วย เหมือนที่มีคนสรุปว่า "ถ้าเขากินไม่อิ่ม ต้องมีปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใดต่อวัวอย่างแน่นอน"

เพราะสภาพแวดล้อมในสังคมชนวัวสอนให้รู้ว่า วัวชนนั้นต้องอยู่ในสถานะหุ้นส่วนของชีวิต ถ้าเลี้ยงแบบทีเล่นทีจริง ทำแบบขอไปทีก็จะไม่มีทางกำชัยชนะได้เลย

เมื่อตัดสินใจได้ว่าวัวและตัวเองพร้อมที่จะติดคู่ชนแล้ว เจ้าของก็จะเอาวัวไปเปรียบที่บ่อน ตามวันเวลานัดหมาย หรือถ้าเป็นวัวมีชื่อชั้น ก็อาจตกลงติดคู่กันเองระหว่างเจ้าของวัว หรืออาจมีคนกลางเชื่อมประสานหาข้อตกลงโดยไม่ต้องไปที่สนาม

การเปรียบวัวถือเป็นการประลองกำลังขั้นแรก ซึ่งอาจส่งผลถึงการแพ้ - ชนะกันได้

@ ทำคำ

สองสัปดาห์ก่อนถึงวันเปรียบวัว กลุ่มเจ้าของวัวบางรายจะตรากวัว ด้วยการให้วัวตากแดดตลอดวัน ควบคุมปริมาณน้ำและหญ้าให้วัวอิดโรย ไม่แสดงอาการคึกสู้ บางครั้งยังปล่อยให้ละเลงโคลนตมจนเลอะเทอะไปทั้งตัว ทั้งนี้เพื่อพรางตาฝ่ายตรงข้ามว่าวัวผอม ตัวเล็ก ดูแล้วไม่น่ากลัว ทำให้โอกาสติดคู่ได้ง่าย

การเปรียบหาคู่ชน โดยทั่วไปจะนำวัวเข้าเทียบเคียงกัน เพื่อให้ทีมงานและหุ้นส่วน ร่วมกันดูและตัดสินใจว่าจะติดคู่กับตัวใด -- ดูขนาดตัวใกล้เคียงกัน, อายุจริง - อายุในการชน ว่ามีประสบการณ์ผ่านศึกมาโชกโชนเพียงใด, ลักษณะของเขาที่เหมือนๆกัน เพื่อไม่เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้ตายตัวเสมอ นักเลงบางคนดูทางชนด้วย พอเห็นวัวของเขาเหมาะกับทางชนฝ่ายโน้น ก็ตกลงทันที ตัวจะเสียเปรียบนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร วัวตัวเก่งชนชนะติดๆกันหลายครั้ง มักต่อน้ำหนักให้คู่ต่อสู้ พอได้คู่ชนแล้วก็ตกลงวงเงินเดิมพันกัน เดิมพันมาตรฐานจะอยู่ที่ ๒๐,๐๐๐-๑ ล้านบาท โดยนายสนาม ผู้จัดการสนามเป็นคนคอยเชื่อมประสานให้เกิดการลงตัวทั้งสองฝ่าย

วัวยืนเทียบกันท่ามกลางบรรยากาศการซุบซิบของเจ้าของ ในเชิงหารือกับคนยืนข้างเคียง เสียงพูดค่อยๆหลุดออกมาเป็นระยะๆ --

"กูว่าเอาได้นี่วะ"

"เสียสั้นสักหิดแต่ได้ยอด"

"เสียบางสักหิดแต่ได้ยาว"

ซึ่งในบรรดาผู้รายล้อมอยู่นั้น ฝ่ายจัดการของสนามก็ต้องการรวบรัดให้ได้คู่วัวเร็วที่สุดและมากที่สุดในหนึ่งวันเปรียบ โดยเฉพาะคู่วัวที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้กันว่าถ้าตกลงชนกันได้แล้ว ก็จะพนันกันด้วยเงินเดิมพันก้อนใหญ่ เงินเดิมพันก้อนใหญ่ จะเป็นแรงจูงใจให้คนเข้ามาดูสร้างรายได้ ให้ทางสนามอย่างงาม จึงอยากให้ทุกอย่างลงตัวโดยเร็วที่สุด

ฝ่ายนักเลงวัวชนซึ่งพาวัวตัวเองตระเวนไปตามบ่อนต่างๆทั่ว รู้จักทางชนของวัว ว่าวัวตัวไหนชนอย่างไร ใจแค่ไหน และคุ้นชินกับเกมที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ชิงความได้เปรียบกันและกัน แต่ทางด้านเจ้าของวัวหน้าใหม่ อาจตกเป็นเหยื่อของคนเลี้ยงวัวของสนาม ที่ได้จัดหาวัวตัวเด็ด ให้คนซุ่มเลี้ยงเอาไว้ เข้ามาเชียร์ให้ตกลงชนโดยไม่รู้เท่าทัน

พอเห็นว่าวัวของฝ่ายตนได้เปรียบ หรือเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มลังเล แบ่งรับแบ่งสู้ ก็จะมีคนเข้าไปเชียร์ ด้วยการขันอาสาเป็นผู้รับรองในบางเรื่อง ที่เจ้าของวัวไม่แน่ใจ พูดด้วยวาจาท้าทาย ยุยงส่งเสริม เช่น

"ถ้าไม่เอา (ตกลงชน) กับตัวนี้ กูให้จูงกันเชือกขาดก็ไม่ได้ชน"

"เอาตะ...กูถือ เดิมพันกัน"

"ของหมัน (ของเขา) ไม่ใช่ดีไหรนิ ไม่เอากับตัวนี้ก็เภาแหละหมึง" (เภา=ไก่เภาที่รูปร่างใหญ่แต่ไม่สู้เพื่อน)

อาจบางที ขนบนิยมของท้องถิ่นนั่นเองบอกเขาว่าถ้าเพื่อนท้าแล้วต้องสู้ ยอมไม่ได้ คำว่า วัวลด นอกจากหมายถึงวัวประเภท "ดังกล่าว" แล้ว ในภาษาของชาวนาในลุ่มน้ำนี้ใช้เรียกผู้ชายที่ (ใจ) ไม่สู้ด้วย ซึ่งไม่มีใครอยากเป็น

สิ่งสำคัญที่สุดของการตกลงทำการชน นายสนามจะเรียกทั้งสองฝ่ายมาทำสัญญา เรียกว่า ทำคำ สำหรับนักเลงวัวแล้ว การทำคำมีผลบังคับใช้กับคู่สัญญา มากกว่าการทำสัญญาประเภทอื่น มันน่าจะกินความถึงการพูดคำไหนคำนั้นด้วย คู่สัญญารู้ดีว่าหากฝ่าฝืน หรือละเมิดสัญญาเมื่อใด นายสนามผู้เปี่ยมบารมี อาจจะนำมาตรการของศาลเตี้ยมาใช้ได้ทุกเมื่อ ทำให้ไม่เคยเกิดข้อขัดแย้ง จนถึงขึ้นโรงขึ้นศาลจากกรณีนี้แม้แต่ครั้งเดียว

การให้ความสำคัญต่อการพูดคำไหนคำนั้น หรือสัญญาทางสังคม มากกว่าสัญญาลายลักษณ์อักษร ดูจะช่วยเสริมภาพนักเลงให้แก่คนในแวดวงวัวชน ในเมื่อ "นักเลง" หมายถึงความใจกว้าง เพื่อนฝูงมาก พูดคำไหนคำนั้น พฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นอุบายเชิงรุก เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการต่อไป

ทำนองเดียวกับคำตอบว่า "ติดคู่ชนแล้ว" ต่อคนไถ่ถามที่ผ่านไปผ่านมา ดูสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ทุกคน มิใช่ในระดับ "วัวมีคู่ชน" เฉยๆ แต่หมายถึงการได้เสี่ยงสู้ และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนักเลงด้วย

วัวเองก็เหมือนรู้ ไอ้นิลเอาตีนหน้าทั้งสองสลับกันตะกุยทราย แสดงอากัปกิริยา จานดิน พ่นลมหายใจออกจากจมูกแรงๆ เดินออกจากสนามวัวยวนแหลที่เปรียบวัว โดยไม่ต้องจูง แสดงว่ามันคึก เหมือนที่เคยทำฮึดฮัดกระตุกเชือก เวลาได้ยินเสียงวัวตัวอื่นชนในสนาม -- "นิลเพชรหัวใจสิงห์" ชนรอบพิเศษวันที่ ๓ ของงานบุญเดือนสิบกับวัวจากสุราษฎร์ฯ อำเภอบ้านส้อง เดิมพันข้างละ ๔ แสนบาท "โหนดนำโชค" เจอกับวัวจากอำเภอทุ่งใหญ่ ซึ่งเป็นค่ายที่รู้กันในแวดวงว่าซ้อมดี เดิมพันติดปลายเขา ๔ แสนเช่นกัน

ด้วยเงินอุดหนุนค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายบางส่วนจากทางบ่อน ก่อนทำการชนหนึ่งเดือน ไอ้โหนดกับวัวอีกหกตัวจากอำเภอลานสะกา ย้ายเข้าค่ายพักวัวชั่วคราวด้านหน้าบ่อน เป็นทีมเดียวกัน คณะที่มาจากต่างตำบล ต่างจังหวัดก็พากันมาปักหลักอยู่รอบๆบ่อนคึกคัก เพื่อให้วัวเรียนรู้ และคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของสนามใหม่ สถานที่ใหม่ในด้านต่างๆ เช่น ดิน น้ำ อากาศ และหญ้า จะทำให้วัวไม่ตื่นตระหนก และชนได้นานเสมือนกับชนในถิ่นฐานตัวเอง

เรื่องให้วัว "ลงที่" กับสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญ หลังจากเดินออกกำลังช่วงเย็น วัวชนต่างถิ่นมักจะถูกพาไปเล่นบ่อน หรือเดินภายในสนามแข่งขัน เพื่อให้คุ้นเคย และพักผ่อนคลายเครียด หลังจากที่มันอยู่ในแผนการฝึกปรือดูแลรักษามาตลอดวัน เจ้าวัวบางรายยอมถอนตัวจากการแข่งขัน เพียงเพราะเห็นว่าสถานที่นั้นหญ้าไม่ดี รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่น่าไว้วาง หรือวัวลงซ้อมคู่แล้วไม่ยอมชน ยอมเสียมัดจำตามอัตราบ่อน ๓๐ เปอร์เซ็นต์จากเงินเดิมพันโดยที่เขาไม่รู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด "ดีกว่ายอมเสียเงินแสน หรือเสียวัว"

@ ค่ายพักวัว

ภายในค่ายพักวัวคือพื้นที่แห่งความ "สดและสาบ" กลิ่นของวัว ขี้วัวและหญ้าสดๆ เคล้าคละปะปนกัน

กระต๊อบที่ปลูกสร้างติดๆกันเป็นห้องแถวของวัวดูทรุดโทรมไปบ้างในสายตาคนภายนอก เพราะสภาพเก่าคร่ำของมัน บวกกับความไม่ใส่ใจดูแลตัวเองของเด็กเลี้ยงวัว แต่บริการสำหรับวัวชนแต่ละตัว ต้องบอกว่า...ทุกระดับประทับใจ

ยามเย็นหลังจากอาบน้ำลงขมิ้นให้วัว พวกเขาจะสุมไฟไล่เหลือบยุงให้หุ้นส่วนชีวิต ขณะปล่อยให้มันกินหญ้าจากกระบะ (บางคนคอยป้อนหญ้าให้) วัวทุกตัวมีมุ้งตาข่ายขนาดใหญ่เป็นของตัวเองภายในกระต๊อบ ขี้ เยี่ยวก็มีคนคอยรอง หรือเก็บกวาดเสมอ เด็กเลี้ยงวัวพูดว่า "วัวต้องออกเดิน กินและอาบน้ำครบถ้วน แต่ผมเองอาจไม่ครบ...ไม่จำเป็นต้องครบ"

ผ่านไปตามโรงเรือนเกือบทุกแห่ง จะเห็นมะพร้าวกองสุม เจ้าของวัวว่าน้ำมะพร้าวอ่อน เป็นอาหารบำรุงกำลังวัวชน นอกจากนี้มันยังได้อาหารเสริมเป็นไข่ไก่ และถั่วเขียวต้ม โดยนักโภชนาการยังไม่มั่นใจว่า ไข่ไก่สดจะมีผลทางสร้างสรรค์อย่างไร ต่อสัตว์เคี้ยวเอื้อง บางคนเพิ่มความแข็งแกร่งภายในด้วยแคลเซียม ฉีดยาบำรุง ถ่ายพยาธิ ให้น้ำเกลือบ้างกรณีที่อากาศร้อนจัด

เกี่ยวกับสารกระตุ้นประเภทสเตรียรอยด์ เป็นเพียงข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะผู้เลี้ยงวัวระดับชาวบ้าน ไม่มีความรู้ว่าจะให้อย่างไร ปริมาณเท่าไร จึงกลัวสารตกค้างทำให้เสียวัวไปมากกว่า จะมีบ้างก็แต่สิ่งสารออกฤทธิ์เร็ว ที่คนกินได้ เช่น เหล้าขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง แต่สำหรับคนที่แน่ใจว่าวัวตัวเองสู้ จะไม่ให้กินของพวกนี้เลย

กลางคืนจะมีเด็กเลี้ยงวัว หรือเจ้าของอย่างน้อยหนึ่งคน นอนเฝ้าวัวอยู่ข้างๆตลอดคืน พวกที่เหลือจะจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงนอกชาน เฝ้าระวังไม่ให้คนเข้ามาวางยา หรือกระทำการใดๆให้วัวผิดปรกติจนพ่ายแพ้การแข่งขัน ยิ่งใกล้วันแข่งขัน บรรยากาศภายในค่ายก็ยิ่งเคร่งเครียดและเข้มงวด

คนเฝ้ายามอดนอนหัวกระเซิงเหมือนผีดิบ

"นักเลงวัวอย่างน้อยต้องไม่แพ้เพราะเพื่อนเอาเปรียบ ไม่คลางแคลงใจว่าเสียรู้คนอื่น" (เสียสตางค์บางทีไม่เท่าไหร่) ชายคนหนึ่งพูดนัยน์ตาเขม็ง "เบื่อวัวทำได้หลายแบบ เช่นสมัยก่อนเอาตะปูเข็มตอกตรึงบริเวณโคนเขาให้วัวรู้สึกเสียวและเจ็บปวด เอาของยัดใส่เข้าในรูหู หรือตำพืชสมุนไพรบางชนิดให้กินแล้วท้องอืดท้องร่วง เดี๋ยวนี้อาจเอายานอนหลับใส่กล้วยโยนให้กินตอนเจ้าของเผลอ หรือยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ปริมาณที่ไม่ถึงกับทำให้ตาย แค่มึนเมาเศร้าซึมผิดปรกติ

"สังเกตดูได้วัวจะขาสั่น ไม่มีแรง พอปล่อยชนก็หันหลังวิ่ง"

นี่คือสาเหตุที่ผู้เลี้ยงวัว จะต้องทำรั้วพร้อมกับขึ้นป้ายประกาศเป็นเขตหวงห้าม ต้องมีคนคอยเฝ้าโรงเรือนอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับหมาดุๆ กับการเลือกตัดหญ้าแบบไม่ซ้ำที่ ในเมื่อกระทำการต่อฝ่ายตรงข้าม ต้องฝ่าแนวป้องกันหลายชั้น แนวโน้มของผู้เห็นแก่เงิน จึงมุ่งไปในทางกระทำกับวัวตัวเองมากกว่า บางคนซุ่มให้วัวกินหญ้าจนอ้วนพี ไม่ตากแดด ไม่นำออกเดิน วัวจึงไม่แข็งแกร่งพอจะสู้ เรียกว่า "บ่มวัว" บางคนก็กลั่นแกล้งวัวของตน ให้ได้รับความเจ็บปวดทรมาน หรือให้วัวต้องตรากตรำก่อนวันชน โดยไม่ให้พักผ่อนเลย กรณีนี้มักจะทำกับวัวตัวที่เป็นต่อมากๆ จากนั้นเจ้าของวัว ก็ให้พวกพ้องตัว แอบไปเล่นพนันวัวอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นวัวรองด้วยเงินมากๆ แต่บางครั้งผลการต่อสู้ก็อาจกลับตาลปัตรได้ คือวัวที่เคยชนชนะบ่อยๆ มักมีศักดิ์ศรีของผู้ชนะ และจิตใจนักสู้อยู่เหมือนกัน มันกลับสู้ยอมตายถวายชีวิต จนเป็นฝ่ายชนะทำให้เจ้าของวัว ต้องประสบกับความหายนะไปก็มาก

คนจำพวกนี้ในวงการวัวชน ถือว่าไม่มีจิตใจเป็นนักเลง ไม่มีน้ำใจนักกีฬา จะถูกสังคมนี้อัปเปหิไม่คบค้าสมาคม และเล่นพนันด้วย และที่สำคัญก็คือเสี่ยงต่อการถูกเล่นงาน จากฝ่ายจัดการของสนาม เพราะทำให้นายสนามขาดความเชื่อถือ ในการบริหารจัดการ จนกระทบต่อการดำเนินการในเชิงธุรกิจการแข่งขัน

นักเลงวัวยืนยันว่า "ถ้าบ่อนไหนมีการต้มวัว คนจะไม่เข้าจนร้างไปเอง"

รุ่งเช้า เนื้อที่บริเวณรอบๆกว่า ๑๐ ไร่ แลดูคล้ายตลาดวัวควายกำลังเริ่มติดตลาด พี่เลี้ยงจูงวัวออกเดินขวักไขว่ทั้งเข้าและออก หลังจากเดินวัวตามเป้าหมายแล้ว พวกเขามักไปนั่งชุมนุมกันในร้านน้ำชา กลายเป็น "ชุมทางวัวชน" ริมทาง

นอกจากเจ้าของวัว ในร้านอาจมีอดีตเจ้าของวัว นายหัว นักพนัน นั่งพูดคุย ถามผลวัวชนเมื่อวาน เหมือนผู้ชายออฟฟิศคุยถึงผลฟุตบอล ยุแหย่กันฉันคนที่รักการเสี่ยงด้วยกัน แม้บางคนไม่คุ้นเคยเป็นการส่วนตัว แต่อย่างน้อยก็คุ้นหน้า (ในวงการ) เมื่อได้นั่งฟังจับสังเกตนานเข้า จะพบว่า แต่ละคนต่างก็มีวัวดีของตัวให้พูดถึง ในอดีตพวกเขาเคยเป็นเจ้าของวัวดัง เคยชน ๒ แสนกันมาแล้ว ขณะที่คุย

สายตาของวงสนทนา ณ ร้านน้ำชามักจะพุ่งตรงไปรวมศูนย์อยู่ที่วัวซึ่งผูกเรียงรายอยู่ในคอก

การพูดคุยวิเคราะห์วิจารณ์มักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า "ถ้า" ในแทบทุกประโยค "ถ้าตัวนั้นแทงติดก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ"

"ถ้าตัวโน้นชนได้นานถึง ๑๐ นาทีขึ้นไปก็จะชนะลูกเดียว"

หรือ "ถ้าตัวนั้นกินเพลียงไม่ได้ก็จะเป็นตัวแพ้"

ในบางครั้งการสนทนาด้วยมุมมองที่แตกต่างระหว่างคู่คุย ก็จะนำไปสู่การตกลงพนันขันต่อกันล่วงหน้าก็มี อย่างไรก็ดี เหมือนที่คนบอกว่าในวงการพนัน "จะมีคนซื่อตรงได้เพียงแค่แมวนอน" เท่านั้น -- ก็คือการพูดจานั้น ไม่ได้เสนอความจริงทั้งหมด เพื่อให้เพื่อนสำคัญผิดบางประเด็น เปรียบได้กับแมวที่พยายามนอนให้ตรงอย่างไร ก็ยังคดคู้อยู่ดี บางคนเปิดตัวทักทายด้วยการยั่วยุให้เล่า ด้วยหมายที่จะล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม เพื่อประโยชน์ในเกมการพนัน ทั้งของตัวเองและนายหัว บรรยากาศเช่นนี้จะหวนกลับมาอีกครั้ง ในช่วงเย็นที่มีเบียร์ เหล้าขาวเป็นสื่อ แต่ใช้เวลาไม่นานเท่ากับช่วงเช้า เพราะต้องอาบน้ำวัว และประคบประหงมอื่นๆต่อไป

อันที่จริงคณะวัวชนที่มาจากตำบลเดียวกัน พำนักอยู่บริเวณใกล้ๆกัน รวมทั้งนักเลงวัวเจ้าถิ่นแถบๆอำเภอเมือง มีความสัมพันธ์กันมากกว่าการดูแลช่วยเหลือกันฉันเพื่อน แต่หมายถึงการอุปถัมภ์กัน เป็นทีมเดียวกันในเชิงการพนันด้วย เงินเดิมพันวัวแต่ละคู่ เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของวัวก็จริง แต่โดยส่วนใหญ่เงินจำนวน ๘ หมื่นหรือ ๒ แสนไม่ได้เป็นของคนคนเดียวหรือสองคนเท่านั้น แต่เป็นของหุ้นส่วนหลายๆคนในหมู่บ้าน ฝากมาลุ้นวัวชนที่ตนเองชื่นชอบ คนที่ไม่ได้มาก็ฝากมาเล่นด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เรียกให้เก๋ว่าเป็นผลึกของความสัมพันธ์ก็ได้

เดิมพัน ๒ แสนของวัวนิลเพชรหัวใจสิงห์ จึงรวมเอาเงิน "ลุง" คนที่เคยเลี้ยงมันด้วย นอกจากแกติดตามมาดูแลไม่ห่างแล้ว ยังมาเอาเดิมพันด้วยเช่นกัน ซึ่งเจ้าของคนใหม่บอกว่าต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน "เป็นน้ำใจ พึ่งพากัน วันหน้าวัวเขาชนเรา อาจต้องพึ่งพาอาศัยเขาบ้าง"

บรรยากาศการพนันขันต่อ ดูท่าว่าจะไปกันได้กลมกลืน กับกลิ่นอายความเชื่อ ไสยศาสตร์ในหมู่นักเลงวัว

ก่อนมหกรรมชนวัวเดือนสิบจะเริ่มหนึ่งวัน ต้นยางใหญ่หลังสนามยวนแหล ยังมีผ้าแดงเก่าๆผืนเดียว พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าผ้าสีพันเต็มไปหมด ในค่ำคืนก่อนจะทำการชน เจ้าของบางคนนิยมบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่นับถือสืบทอดกันมา ทั้งจากภูมิลำเนาเดิม และในบริเวณสนาม วัวใหม่ที่ลงชนในบ่อนครั้งแรก ก็จะมีหมอทำพิธีปลุกเสกให้ในคืนก่อนจะลงสนาม ซึ่งเป็นพิธีที่ปิดลับ ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด

ชาวบ้านบางคนห้ามพระภิกษุ เข้ามาในบริเวณโรงวัว เพราะเชื่อว่าจะทำให้วัวของตนใจบุญ มีใจสงสารไม่ประหัตประหารคู่ต่อสู้เพื่อชัยชนะ บางคนไม่ยอมให้คนแปลกหน้าถ่ายรูปวัว กลัวเอาไปสักเลขลงยันต์ให้แพ้ และด้วยชื่อของมัน "ปลาไหล" ซึ่งโดยธรรมชาติไม่ได้มีชื่อเสียงด้านการต่อสู้เลย แต่ก็ถูกเอาเลือดผสมข้าวสุก นำไปพอกที่ปลายเขาวัว เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้วัวของตน ทิ่มแทงคู่ต่อสู้อย่างได้ผลจนเลือดไหล

ใกล้วันชน ทีมงานของ "ไอ้นิล" ช่วยกันลงขมิ้นบริเวณหัว หนอก และลำตัวส่วนต้นๆทุกเย็น นัยว่าเพื่อให้ทนทานต่อคมเขาคู่ต่อสู้ เขาทั้งสองข้างก็อาบด้วยน้ำผึ้งผสมยาดำ จนมันวาวให้ทนทานเช่นกัน จนวันสุกดิบก่อนทำการชนในวันรุ่งขึ้น ไอ้นิลรวมทั้งโคถึกทุกตัว จะถูกลับปลายเขาแต่งให้แหลมด้วยกระจก ขัดกระดาษทราย แล้วปกปิดยอดไว้อย่างดีด้วยพลาสติกล็อกเขา

นับจากนาทีนี้ บริเวณภายในคอก จะกลายเป็นเขตปลอดบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด เขาพูดเสียงเรียบและห้วนว่า "วันนี้วันสำคัญ วัวอาบน้ำแล้วจะไม่ให้ใครเข้าในโรง"

@ วัวรอบพิเศษ

เสียงกลองตุ้งๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้นำวัวเข้าสู่สนาม...

ที่สุดของการเตรียมวัวชน นับตั้งแต่การคัดสรรให้ได้มาซึ่งวัวดี เลี้ยงดู อยู่บำรุงประคบประหงม ซ้อมชน และติดคู่ชน ก็คือวันที่ทำการชนวันนี้ เพราะเป็นวันที่จะพิสูจน์ ตรวจสอบว่าสิ่งที่เจ้าของวัวแต่ละคนคิด เชื่อและคาดหวังนั้นเป็นจริงเพียงใด--

เกมของนักเลง เกมของคนไม่ยอมถูกเอาเปรียบ ที่เต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ เกมของคนไม่ยอมแพ้ จะออกมาในรูปใด

เมื่อโฆษกสนามให้สัญญาณกลองอีกครั้ง เจ้าของวัวแต่ละฝ่าย ทำการเช็ดล้างวัวของตัว เพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมที่อาจจะทำให้เกิดการได้เปรียบกัน แล้วตามด้วยกรรมการกลางของสนาม จะเช็ดล้างบริเวณใบหน้า ลำคอ โคนเขา ซอกหู ตลอดไปถึงคร่อมส่วนหน้าเป็นครั้งที่ ๒ โดยต่างฝ่ายต่างก็ส่งตัวแทน ไปควบคุมการเช็ดล้างของกรรมการด้วย เพื่อป้องกันการลำเอียงที่อาจจะเกิดขึ้น และก็มีสิทธิ์ทักท้วง จนกระทั่งเป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย

กรณีที่เป็นการชนกันระหว่างวัวคู่สำคัญ โดยเฉพาะคู่วัวที่มีเดิมพันตั้งแต่ ๑ ล้านบาทขึ้นไป นอกจากจะกระทำตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว ยังมีการปันน้ำกลางที่ผสมผงซักฟอก จากทางสนาม เพื่อเช็ดล้างครั้งสุดท้ายอีกด้วย หลังจากที่มาตรการต่างๆได้ถูกนำมาเพื่อตรวจสอบ และขจัดสิ่งแปลกปลอม จนถึงขั้นสุดท้ายก่อนที่จะวางวัวให้ชนกันคือ การใช้ทรายลูบปลายเขา เพราะที่ปลายเขาของวัวบางตัวอาจเคลือบ ทา หรือใช้มีดกรีดปลายเขาให้เป็นร่องเล็กๆแล้วใส่ของมีพิษ หรือสารที่สร้างความแสบร้อน กรณีนี้ทรายจะช่วยป้องกันได้ดีที่สุด

จากนั้นจึงเอากล้วยสุกละเลงทั่วบริเวณหน้า กกหู โคนเขา และลำคอวัว กลบกลิ่นสาบของฝ่ายตรงข้าม เพราะนัยว่าวัวหนุ่มจะเกรงวัวแก่ คู่ชนแต่ละคู่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า วัวของอีกฝ่ายอายุเท่าไร่ ก็เลยทากลบกลิ่นเป็นการป้องกันเสียก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จูงวัวมาต่อหัวกันกลางสนาม...

วัวคู่สำคัญ อัฒจันทร์ผู้ชมชั้นที่ ๑ ของสังเวียนวัวยวนแหล คนแออัดกันแทบจะปริ ควันบุหรี่คละคลุ้งไม่หยุด เช่นเดียวกับการต่อรองที่แสดงผ่านการกวักมือ โบกมือ แบมือ เจ้าของวัวเกือบทั้งหมดมารวมอยู่ในสนามทางฝั่งชั้นที่ ๑ นอกจากนี้ยังมี นักเลงระดับนายหัว พ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของนากุ้ง เจ้ามือหวยใต้ดิน แม้แต่ข้าราชการ ทั้งนักพนันอาชีพ และสมัครเล่นมาพบปะกันโดยมิได้นัดหมาย พวกเขาแทบไม่ต้องพูดจากัน แต่สัญญาเกิดได้เพียงแค่สัญญาณมือ กับบัญชีหางว่าว ที่ตัวเองเขียนขึ้นว่าต่อรอง ออกตัวไว้กับใครบ้าง เขาพูดจากันด้วยภาษามือกับเงินสดๆเท่านั้น ไม่มีเครดิต เช็ค คนไม่มีเงินสดในมือ จึงถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้าบ่อนโดยปริยาย

อัฒจันทร์ชั้น ๒ ด้านตรงกันข้ามเป็นของเซียนท้องถิ่น คนขับรถ ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เยาวชนที่ติดตามผู้ใหญ่เข้าไปเชียร์วัว หรือมีความชื่นชอบทางด้านนี้ก็มาก ตามความจริงคนดูชั้น ๑ และ ๒ ยังมีการแบ่งกลุ่มภายในโดยปริยาย ด้วยเม็ดเงินที่ทุ่มแทงในการเล่นพนัน -- มุมเงินล้าน, มุมเงินแสน กลุ่มใครกลุ่มมัน ภาษาที่ใช้ในการพนันขันต่อก็ผิดแผกกันในด้าน

ความนัยของหลักตัวเงิน "สิบ" ในกลุ่มหนึ่งหมายถึง "พัน" แต่อีกมุมหมายถึง "แสน"

ขณะที่พวกหนึ่งกำลังดูวัวชนอย่างเคร่งเครียด ภายในสนามอีกมุมหนึ่งมีการเลี้ยงเหล้าเบียร์ หมูเห็ดเป็ดไก่ เหมือนเลี้ยงโต๊ะจีน บรรยากาศชื่นมื่นจนน่าประหลาดใจ กลุ่มหนึ่งอาจเป็นเจ้าของวัวรวมทั้งญาติพี่น้องจากตำบลเดียวกัน เลี้ยงฉลองที่เอาชนะเดิมพัน และปลอบใจคนแพ้ กลุ่มหนึ่งอาจเป็นของฝ่ายจัดการสนาม กลุ่มนายหัวเลี้ยงเพื่อนฝูง คนในอุปถัมภ์ ตาม "โต๊ะจีน" เหล่านี้ นายสนาม ผู้จัดการสนาม หรือประธานกรรมการชี้ขาดของสนาม จะแวะเวียนเข้าไปดูแล

ผู้ที่เข้าไปเล่นพนันในบ่อน บางครั้งไม่ได้เข้าไปเพียงเพื่อเล่นการพนันอย่างเดียว การพนันอาจเป็นเหตุผลรองลงมา เนื่องจากผู้ชมชอบวัวชนในสายเลือด และได้รับขนานนามว่า นักเลงวัวจะมีความภูมิใจ มันหมายถึง พรรคพวก ใจกว้าง มีเพื่อนในแทบทุกวงการ บ่อนวัวจึงเป็นสถานที่ซึ่งนักเลงเข้าไปพบปะสังสรรค์กัน การพนันกลายเป็นสื่อ ให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวในระดับหนึ่ง ที่แต่ละคนจะรู้ตำแหน่งแห่งที่ของตนในสนามอย่างชัดเจน

มีความเป็นไปได้ที่จะกล่าวว่า เมื่อเริ่มแรกบริเวณรอบๆบ่อนชนวัวจะต้องเป็นที่ว่างเปล่าจำนวนนับสิบๆไร่ แต่ด้วยพลังอำนาจของบ่อน ที่สามารถสร้างงานอาชีพ และรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวนไม่น้อย ได้ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานรอบๆบ่อนในเวลาต่อมา

ครั้งหนึ่งสนามวัวเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการเชื่อมโยงกลุ่มผลประโยชน์เข้าด้วยกัน เพื่อโยงใยไปหาประโยชน์แอบแฝงอีกทอดหนึ่ง มากกว่าที่จะหาประโยชน์จากการจัดชนวัว นายสนามและผู้ดำเนินการ อาจไม่มีกำไรจากการชนวัว เนื่องจากผู้ชมชั้น ๑ ล้วนแต่เป็นที่ผู้อุปถัมภ์บ่อน -- นายอำเภอ ปลัดอำเภอ เจ้าของวัว เม็ดเงินที่ทางสนามได้รับจริงๆมาจากคนดูชั้นสอง แต่จำนวน และสถานภาพคนดูชั้น ๑ เป็นบารมีของนายบ่อนให้เป็นที่นับหน้าถือตา มีชื่อเสียงบารมี มวลชนเหล่านั้น จะเป็นฐานเสียงทางการเมืองในระดับหนึ่ง

เป็นที่รู้กันว่านักการเมืองระดับชาติหลายคน เริ่มต้นด้วยฐานคะแนนเสียง จากแวดวงวัวชน ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันสนามวัว ถูกนำใช้ไปในฐานะที่เป็นอาชีพ หรือหารายได้ในเชิงธุรกิจมากขึ้น

วัวดีมีชื่อเสียงโด่งดัง แสดงถึงความสามารถ และบารมีของนายสนามเป็นสำคัญ กล่าวคือ นายสนามจะต้องเป็นผู้ที่สังคมวัวชนเชื่อถือ และไว้วางใจสูง มีเพื่อนฝูงที่คอยให้ความช่วยเหลือ ขอร้องเจ้าของวัวชนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก และที่สำคัญคือ จะต้องมีเครดิต ที่จะรองรับเรื่องเงินเดิมพันของวัวบางตัว ที่มีไม่เพียงพอ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะชนด้วยเงินเดิมพันจำนวนมาก เช่น ถ้าโคโหนด ก. ต้องการจะชนในวงเงินเดิมพัน ๑ ล้านบาท ขณะที่โคแดง ข. รับได้เพียง ๗ แสนบาท แสดงว่าอีก ๓ แสนที่ขาดไป นายสนามจะต้องบริหารจัดการมาเติมจนเต็ม วัวคู่พิเศษจึงจะได้ชน เป็นต้น


วัวชนไม่อาจรู้คุณค่าความหมายที่แท้ของการฉลองชัย แต่ตามธรรมเนียมผู้ชนะ ต้องมีผ้าคล้องคอ ปลอกเขา หรือเสื้อสามารถ ส่วนผู้แพ้ ถ้าเป็นวัวที่ชนครั้งแรก จะเสี่ยง ๕๐/๕๐ ที่จะถูกส่งไปอยู่บนเขียงเนื้อ หรือเลี้ยงต่อไปชนครั้งที่ ๒ การแพ้ของวัวที่ชนมานานหกเจ็ดครั้ง จะถูกปรนนิบัติในสองลักษณะ หนึ่ง - ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติในแปลงหญ้า เป็นพ่อพันธุ์จนสิ้นอายุขัย สอง - เสี่ยงให้ชนดูอีกสักครั้ง เพราะวัวพรรค์นี้ ถือว่ามีน้ำอดน้ำทนใช้ได้ ที่แพ้อาจเพราะแพ้ทางก็เป็นได้

พอขายแล้วชาวบ้านจะมองหาลูกวัวตัวใหม่ที่มีแววต่อไป

วัวโหนดนำโชคเป็นวัวที่แทงดีฝีเขาจัดจ้าน แต่มันไม่เคยชนนานๆ เพราะคู่ต่อสู้เจ็บ และยอมแพ้ไปก่อนเสียทุกครั้ง เหมือนนักมวยไม่เคยชกมากยก เมื่อมาเจอวัวโคขาวเพชฌฆาต ซึ่งเขาไม่ได้ยาวนัก แต่โครงสร้างร่างกายแข็งแรง คร่อมอกใหญ่เลยแพ้ทางชนกัน เมื่อมันหันหลังวิ่งลุงดำโบกมือขอไม่ "เกียดวัว" ด้วยการเอาไม้ยาวๆไปไล่ให้มันสู้ต่อ แกเคยบอกไว้ว่า ตามสายตาของคนดู การเกียดวัวน่าจะเป็นสิ่งน่าสมเพชที่สุดของเกมชนวัว

ส่วนไอ้นิลก็ชนะในลักษณะที่ไอ้โหนดแพ้นั่นละ แบบที่ครูจุ๋มพูดไว้ "ไอ้นิลไม่ต้องทำอะไรมาก เลี้ยวกินข้างๆ แล้วขึ้นคร่อมอยู่ข้างบนด้วยน้ำหนักตัว ๗๐๐ กว่ากิโลกรัมโถมขึ้นทับทำให้อีกตัวต้องยก "รื้อ" ด้วยพละกำลังทั้งหมด มันก็หมดเรี่ยวแรงแพ้ไปเอง

วัวแพ้ ลุงดำและลูกน้องไม่มีคำโอดครวญ หาเหตุจากการพ่ายแพ้ต่อกัน ถ้าแม้นมีอยู่ก็เป็นเพียงพูดตัดพ้อ หยอกล้อด้วยเสียงหัวเราะแค่นๆระหว่างแกกับเด็กที่ช่วยเลี้ยงวัว ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเท่านั้น ลงท้ายด้วยวลีที่ให้กำลังใจว่า "ไม่พลือ...เอาใหม่" ไม่ยอมแพ้

ไอ้โหนดที่มันวิ่งรอบสนาม ลุงดำก็ตามเอาเชือกจูงวัวโยนใส่ให้มันด้วยแววตาห่วงใย แสดงสัมพันธภาพอันลึกซึ้ง ไม่แผกต่างจากตอนที่แกเชียร์.... จนหายตื่นแล้วจึงเข้าจับเทียมที่จมูกของมัน